บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 252

บทที่ 252 โฉมหน้าที่แท้จริงของกุ่ยเม่ย

สองวันติดต่อกันที่กู้อ้าวเวยแทบจะถูกซ่านจินจื๋อโยนขึ้นเตียงนอน

นางกลับเคยชินกับสิ่งนี้ราวกับเป็นเรื่องปกติ แม้แต่อาโม่ก็ไม่รู้สึกแปลกหน้ากับซ่านจินจื๋ออีกต่อไป กระทั่งช่วงกลางวันที่นางตามกุ่ยเม่ยไปฝึกฝนพื้นฐานกำลังภายในยังเห็นอาโม่วิ่งวนเกาะแกะอยู่รอบกายซ่านจินจื๋อ

กุ่ยเม่ยที่เข้าไปแก้ไขท่าทางการเคลื่อนไหวให้นางอีกครั้งยังไม่รอดสายตาขู่ขวัญของซ่านจินจื๋อ จึงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “พระชายา หากท่านยังใจลอยอีกก็อย่าหวังจะได้ออกไปเที่ยวเล่นกับเด็กน้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“กุ่ยเม่ย แต่ก่อนทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นว่าเจ้าสามารถข่มขู่ผู้คนได้ด้วย”

กู้อ้าวเวยจึงได้แต่รั้งสติอารมณ์ ฝึกฝนกำลังภายในพื้นฐานอย่างใจจดใจจ่อ ก้านธูปเพิ่งจะเริ่มไหม้นางก็เหงื่อโทรมท่วมร่างเสียแล้ว

ดวงตาดุจอสรพิษของซ่านจินจื๋อไม่เคยละจากเงาร่างของกุ่ยเม่ย กุ่ยเม่ยมองด้วยความหวาดหวั่น ได้แต่ปฏิบัติกับกู้อ้าวเวยราวกับตุ๊กตาดินเผา

ฝึกฝนตลอดช่วงเช้า กู้อ้าวเวยกลับยิ่งรู้สึกกระฉับกระเฉง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เมื่อถึงช่วงบ่ายก็พาอาโม่ออกไปเที่ยวเล่น ขณะที่กลับเมืองเทียนเหยียนบังเอิญเห็นคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปที่วังหลวงอย่างรวดเร็ว

อาโม่กำลังถูไถกับอ้อมแขนของกู้อ้าวเวย “พวกเขาจะรีบร้อนไปทำไมกัน?”

“ไม่รู้สิ” กู้อ้าวเวยลูบศีรษะของนางพลางเหลือบมองไปบนท้องฟ้าในเวลานั้น คิดว่าเมิ่งซู่น่าจะไปรอที่ทิงเฟิงโหลวแล้ว

อาโม่ตัวน้อยเพลิดเพลินมาสองวันกว่า สมควรแก่เวลาที่เมิ่งซู่จะพากลับไป มิเช่นนั้นซู๋โหย่วเว่ยอาจจะกังวลเอาได้

เมื่อมาถึงในทิงเฟิงโหลว หลิ่วเอ่อร์ที่นั่งอยู่ข้างเมิ่งซู่กำลังคุยเรื่องสัพเพเหระในเมืองเทียนเหยียน เมื่อเห็นคนทั้งสองอาโม่พลันเบิกตากลมกว้างพุ่งเขาไปหา

เมิ่งซู่นำคนเข้ามาโอบเต็มวงแขนแล้วมองกู้อ้าวเวย “สองสามวันมานี้รบกวนท่านแล้ว”

“ไม่เห็นเป็นไร อาโม่เป็นเด็กดีเชื่อฟังมาก” ขณะที่กู้อ้าวเวยนั่งลงยังไม่ลืมสั่งให้คนนำขนมที่รสชาติจืดมาขึ้นโต๊ะ พลางเอ่ยต่อ “วันพรุ่งนี้ผลการทดสอบฤดูใบไม้ผลิก็น่าจะออกแล้วล่ะ”

“ใกล้แล้วๆ วันนี้มีคนมาหาข้าแล้ว” เมิ่งซู่จนใจ เพียงกล่าวต่อ “อีกอย่างข้าได้สอบถามพวกคนมีความสามารถที่อยู่ใกล้ตัวกลับพบหลายคนที่นิสัยใจคอเหมือนกันกับข้า”

ขณะที่กล่าว เมิ่งซู่เอ่ยชื่อเหล่านั้นออกมาอย่างละเอียด กู้อ้าวเวยจดและจำ ถึงคราวที่ต้องหาเวลาตรวจสอบสักหน่อย

“เพียงแต่ระยะนี้ข้าตัดสินใจถือโอกาสฝึกฝนวิชายุทธ์เกรงว่าไม่อาจออกหน้าได้ หากเจ้ามีธุระให้ไปติดต่อข้าที่โรงยาแล้วกัน” กู้อ้าวเวยพยักหน้ายิ้มพรายถอดเครื่องประดับเงินของตนส่งให้ถึงมือเขา “หากข้าไม่อยู่ เจ้าไปหาข้าที่จวนอ๋องได้โดยตรง”

เมิ่งซู่พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ ยังใคร่อยาก. กล่าวอะไรบางอย่างทว่ากู้อ้าวเวยกลับกระวีกระวาดออกไปเสียแล้ว

มีเพียงหลิ่วเอ๋อร์ที่มองเงาเบื้องหลังของกู้อ้าวเวยด้วยความอาลัย เอ่ยกับเมิ่งซู่ต่อ “องค์พระชายาปกติคงยุ่งน่าดู”

เมิ่งซู่จิบน้ำชา พยักหน้าเล็กน้อย

เป็นจริงดังคาด ทันทีที่กู้อ้าวเวยออกจากทิงเฟิงโหลวก็มาเหยียบโรงเตี๊ยมแปดทิศที่หยินเชี่ยวใกล้จะเปิดกิจการ เท้าเพิ่งจะแตะประตูเรือนหลังก็บังเอิญเห็นครัวด้านหลังกำลังปรุงอาหารไฟเตาลุกโชน

หยินเชี่ยวกับสองพี่น้องตระกูลจูกำลังร่วมชิมอาหารด้วยกัน ยุ่งหัวหมุนอย่างหน้าชื่นตาบาน

กู้อ้าวเวยพบเห็นท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ก็จนปัญญา ขณะที่เพิ่งจะเดินมาฉีหลินพลันลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ “ทำไมท่านถึงมาเล่า?”

“ข้ามาพบจูเย่นต้องการคุยอะไรนิดหน่อย” กู้อ้าวเวยโบกมือเดินตามจูเย่นเข้าไปในห้อง

จูเย่นเข้าใจถึงความหมายของนางก่อนหน้านี้ดีจึงเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม “อย่าได้ลืมว่าอ๋องจิ้งทราบถึงตัวตนของพวกเรา เรื่องนี้ไม่อาจช่วยท่านได้”

“ถึงแม้อ๋องจิ้งรู้แล้วเป็นอย่างไร? หากฝ่าบาทต้องการจะสังหารพวกเจ้าจริงๆ ตอนนี้พวกเจ้าคงเป็นศพไปนานแล้ว” ความคลุมเครือในคำพูดของกู้อ้าวเวย แท้จริงแล้วเป็นการคาดเดาเจ็ดถึงแปดส่วนเสียมากกว่า

เดิมทีองค์ชายหกกวาดล้างโหวเซ่อนับเป็นการสร้างผลงาน แต่ภายหลังซ่านจวนฮ่าวกลับไปยังชายแดนเพื่อผลงานโดดเด่น ทำให้เข้าใจว่าเรื่องของโหวเซ่อนั้นมิใช่คุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่แต่อย่างใด และเมื่อองค์ชายหกจากไปภายในราชสำนักก็ไร้คนจัดการดูแลเรื่องของโหวเซ่อ

ดังนั้นนางจึงคาดเดาว่าพวกเขาสมควรเข้าใจว่าโหวเซ่อไม่สามารถสร้างคลื่นพายุได้(เปรียบว่าไม่ได้สำคัญขนาดที่จะก่อปัญหาใหญ่ได้)

“อ๋องจิ้งควบคุมอำนาจทหารไว้ในมือ”

“แต่โหวเซ่อในผืนยุทธภพไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียวเสมอไป” ดวงตาของกู้อ้าวเวยสุกสว่างขึ้นมาและกล่าวต่อ”ตัวพวกเจ้าอยู่ที่เทียนเหยียน อ๋องจิ้งหยั่งมาไม่ถึงพวกเจ้าหรอก แค่อาจจะสงสัยว่ามีคนทำอะไรบางอย่างภายใต้ป้ายชื่อของโหวเซ่อ”

“อ๋องจิ้งหยั่งเชิง พวกเราทำไมยังกล้าลงมือกับพวกเขาอย่างผลีผลามอีก?”จูเย่นยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่

“ผู้ที่ลงมือ...เป็นข้า” กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วมองจูเย่นด้วยความจนเกล้า “เป็นไปได้ที่ในจดหมายข้าไม่ได้เขียนให้ละเอียด สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำมีเพียงแค่หาคนนั่งตำแหน่งโหวเซ่อเป็นฉากบังหน้าในยุทธภพ เรื่องอื่นๆให้ข้าเป็นคนจัดการ”

เมื่อสิ้นคำ จูเย่นสีหน้ามืดครึ้มลงทันที “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้กับอ๋องจิ้ง?”

“แก้แค้น สั้นๆสองคำไม่มีอะไรเคลือบแฝง”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมากความ จูเย่นตอบตกลงทันที เรื่องการลงมือแทบทุกอย่างล้วนเป็นกู้อ้าวเวยจัดการด้วยตนเองส่วนพวกเขาปลอดภัยไร้อันตราย เพียงแต่เมื่อเขามองโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็เอ่ยขึ้นมา “เจ้าไม่กลัวว่าจะพัวพันถึงสาวใช้ของเจ้าเลยงั้นสิ”

“ถึงให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่อย่างไรเล่า ขอบอกพวกเจ้าไว้เลยว่าข้าไม่อาจให้พวกเจ้าเป็นอันตราย ในวันหน้านอกจากที่ข้าจะมาถอนพิษเป็นครั้งคราวข้าย่อมไม่อาจปรากฎตัวอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน” กู้อ้าวเวยหลุบนัยน์ตาลงแล้วลุกขึ้นยืน กระทั่งรีบร้อนจากไปโดยไม่กล่าวอะไรกับหยินเชี่ยวสักคำ

นางไม่อาจให้หยินเชี่ยวเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ จูเย่นจูเซเองก็กลับเนื้อกลับตัวกันแล้ว บรรพบุรุษได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส สมควรกล่าวได้ว่าต้นร้ายปลายดี

กลับมาถึงโรงยาตัวคนเดียวลำพัง ความครึกครื้นในเมื่อวานไม่เหลืออีกต่อไป มีเพียงชิงต้ายที่เดินออกมาต้อนรับ “ท่านอ๋องกล่าวว่าทางฝั่งชายแดนคล้ายมีแนวโน้มเปลี่ยนทิศ จึงควบม้าเร็วไปแล้วเพคะ”

“อย่างนี้ข้าก็อาจจะต้องทำความสะอาดหลายวันแล้ว” กู้อ้าวเวยส่งเสียงถอนหายใจ กลับพบกุ่ยเม่ยหมอบอยู่ตรงชายคาราวกับแมวเหมียว เขาสวมชุดดำตลอดทั้งร่างแถมยังอุ้มพุทรากับปายเสาเอาไว้ ช่างขัดตานัก

“ใช่แล้ว กุ่ยเม่ยยังอยู่นี่ บอกว่าต้องสอนท่านฝึกวิชายุทธ์” ชิงต้ายรีบเอ่ยขึ้นมา

กู้อ้าวเวยทำอะไรไม่ถูก หลังจากที่มองอยู่สักพักกู้อ้าวเวยกลับหัวเราะขึ้นมาเบาๆพลางกวักมือเรียกเขา “ลงมานี่ ข้าจะพาพวกเจ้าไปทานที่ร้านอาหารอร่อยๆสักมื้อ”

กุ่ยเม่ยเกาศีรษะแกรกๆ กระโจนลงมา

จนพาทั้งสองมาถึงร้านอาหารป่ายเว่ย กู้อ้าวเวยพลันถือโอกาสที่กุ่ยเม่ยไม่ทันตั้งตัวกระชากผ้าคลุมสีดำบนใบหน้าเขาออก

“พูอา----” กุ่ยเม่ยตกใจร้องเสียงหลง ทว่าชิงต้ายกับกู้อ้าวเวยตะลึงลานจนฟังไม่ได้ศัพท์

กู้อ้าวเวยถูกเขาทำให้ขบขัน เห็นกุ่ยเม่ยยังพยายามปิดใบหน้าของเขาด้วยความลนลาน จึงยื่นจอกเหล้าส่งให้ “คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะหน้าตาขาวผ่องนวลตา”

กุ่ยเม่ยเยาว์วัยอยู่มาก ขาวผ่องสะอาดสะอ้านช่างเข้ากับแก้มนุ่มๆบนใบหน้าของเขา ดวงตาเรียวแหลมคู่นั้นเองก็ไม่ได้เย็นชาขนาดนั้น

ชิงต้ายป้องปากอย่างนึกขำ กุ่ยเม่ยรับจอกเหล้าด้วยความกระอักกระอ่วน บ่นพึมพำ “แค่เป็นเพราะว่าเกิดมาขาวผ่องอ่อนโยนเกินไปจึงได้สวมผ้าคลุมหน้า? อีกอย่างทำไมท่านจู่ๆถึงได้....”

“ที่ต้องการก็คือเล่นทีเผลอ” กู้อ้าวเวยมองเขาอย่างนึกขำ ในอดีตเฉิงอีเฉิงเอ้อร์สุดท้ายแล้วก็เลือกจงรักภักดีต่อซ่านจินจื๋อ และก็ไม่รู้ว่ากุ่ยเม่ยผู้นี้จะสามารถลดศักดิ์ศรีลงสักเล็กน้อยได้หรือไม่ ครั้นแล้วจึงหัวเราะขึ้นมา “ท่านอ๋องให้เจ้าสวมชุดดำตลอดเวลาเลยงั้นหรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์