บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 282

บทที่ 282 กองกำลังส่วนตัว

ในยามดวงตะวันตกดิน กู้อ้าวเวยนั่งอยู่ภายในศาลาที่ลานด้านนอกเพียงลำพัง

กุ่ยเม่ยยืนปักหลักอยู่ข้างกายนาง เห็นกู้อ้าวเวยโปรยอาหารปลาลงไปในสระด้วยความเบื่อหน่ายจึงเอ่ยเสียงค่อย “ท่านอ๋องกำลังจะควบม้าจากไป ท่านไม่ไปส่งพระองค์หน่อยหรือ?”

“สิ่งที่ต้องการคือการจากไปของเขา” กู้อ้าวเวยในที่สุดก็หยุดการเคลื่อนไหวในมือลง

ด้วยระยะห่างก่อนหน้านี้นางได้คุยกับซ่านจินจื๋ออยู่หลายวัน องค์ไทเฮาที่ฟ้าร้องยังไม่ขยับเขยื้อนทุกๆวันยังไปแช่พระวรกายในบ่อน้ำพุร้อนอยู่ครึ่งชั่วยาม รอจนกระทั่งได้เวลาที่ออกมา กู้อ้าวเวยยังไปบีบนวดให้นางด้วยตนเองเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป เสริมด้วยการปรับปรุงพระกระยาหารและโอสถ พระวรกายขององค์ไทเฮาจึงดีขึ้นอย่างมาก

ซ่านจินจื๋อไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ที่นี่นาน

เมื่อหันกลับไป ปลายนิ้วเรียวของกู้อ้าวเวยกดเข็มขัดที่อยู่ใต้เสื้อคลุม ที่เอวของนางพกมีดสั้นสามเล่มที่มีความยามแตกต่างกัน ยามนี้ประจันหน้าพูดกับกุ่ยเม่ย “คนขององค์ชายสามได้ส่งมาแล้ว ข่าวสารก็นำมาแล้ว”

“ตั้งแต่เมื่อใด?”กุ่ยเม่ยเบิกตากลมกว้างขึ้นอีกครั้ง “หรือว่าท่านไม่เชื่อถือกระหม่อม?”

“แค่ความบังเอิญเท่านั้น” กู้อ้าวเวยกลอกตาใส่เขา นำจดหมายฉบับหนึ่งออกจากถุงส่งให้กับมือเขา “ข้าเพิ่งให้เจ้าไปส่งฉีเหยียนป่ายกับท่านอ๋อง คนขององค์ชายสามก็นำจดหมายมาส่งให้ข้า”

กุ่ยเม่ยจนปัญญา ดูเหมือนไม่ว่าเขากับท่านอ๋องจะวรยุทธ์สูงส่งเพียงใด สุดท้ายแล้วก็ไม่รอดพ้นกู้อ้าวเวยกับองค์ชายสามที่ช่างลึกลับระแวดระวังทุกฝีก้าว เพียงนำจดหมายฉบับนั้นเปิดออก ครานี้สีหน้ามืดคล้ำโดยสมบูรณ์ “ที่แท้ ผู้ที่หมายตาที่ดินผืนนี้ไว้ตั้งแต่แรก คือปฐมจักรพรรดิ”

“ฮ่องเต้องค์ก่อนครานั้นแน่นอนว่าหมายมั่นปั้นมือที่จะให้ซ่านจินจื๋อสืบทอดราชบัลลังก์ ไม่แปลกใจที่ป้อมปราการหมู่บ้านฉางผิงและเมืองเยว่ซานได้ก่อตั้งขึ้น จวบจนกระทั่งปัจจุบันเรื่องนี้ก็ยังไม่เคยนำขึ้นกราบทูลฝ่าบาทองค์ปัจจุบันแม้สักเสี้ยว”กู้อ้าวเวยส่งเสียงหัวเราะเยาะหยัน “แม้กระทั่งองค์ชายสามที่เป็นหลานยังรู้ แต่ตัวฝ่าบาทเองกลับไม่รู้ เจ้าว่านี่ไม่น่าขันหรือ?”

จดหมายในมือถูกขยำจนยับยู่ยี่ แววตากุ่ยเม่ยเย็นเยียบ “ถ้าเช่นนั้น ท่านอ๋องจึงเตรียมส่งกองกำลังมาที่แห่งนี้?”

“ย่อมเป็นเช่นนั้น อีกอย่างองค์ชายสามได้ตรวจสอบเรื่องนี้ คิดว่าดินแดนผืนนี้มีไว้สำหรับองค์ชายสี่”

กู้อ้าวเวยลุกขึ้นอย่างแช่มช้า นำจดหมายจากมือกุ่ยเม่ยเก็บเข้าอกเสื้อของตน พลันตบบ่าของเขาเบาๆ

กุ่ยเม่ยยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง กลับพบถนนสายเล็กๆที่ด้านข้าง ฉีเหยียนป่ายกำลังค่อยๆเดินเข้ามา

“องค์พระชายา” ฉีเหยียนป่ายได้ทราบว่ากุ่ยเม่ยเป็นคนของพระชายาแล้ว จึงไม่ได้เรียกใต้เท้ากุ่ยเม่ยอีก

“ใต้เท้าฉีมาพบข้าถึงที่นี่ ใช่มีธุระใด?”กู้อ้าวเวยยิ้มอ่อน เห็นรองเท้าของฉีเหยียนป่ายเปื้อนเลอะดินโคลน ที่ข้างใบหูยังมีชั้นเหงื่อบางๆที่แทบจะมองไม่เห็น เกรงว่าคงรีบร้อนมาจากบนเขา

ฉีเหยียนป่ายใบหน้าเผยความลำบากใจ เหลือบมองซ้ายขวาจึงลดเสียงลงเป็นกล่าวกระซิบ “ก่อนที่ท่านอ๋องจะเสด็จ ได้สั่งให้ผู้น้อยพาท่านลอบไปค่ายทหารที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้พ่ะย่ะค่ะ”

“เพราะเหตุใด?”

“ท่านอ๋องทรงทราบว่าพระองค์สงสัยพวกเราอยู่มากโข จึงให้ท่านไปชมดูสักคราว่าเพราะเหตุใดจึงต้องมีกองกำลังองครักษ์อยู่ที่นี่”เสียงของฉีเหยียนป่ายค่อยๆแผ่วลง แต่เมื่อนึกย้อนดู การสามารถให้พระชายาไปค่ายทหารก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าท่านอ๋องทรงเชื่อมั่นมากพอที่จะไว้วางพระทัย

กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วขึ้นพลันพยักหน้าตอบรับ”ย่อมได้ รอหลังอาหารมือเย็นเจ้าก็ส่งคนไปแจ้งไทเฮาบอกว่าข้านำคนขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร”

“ผู้น้อยเข้าใจ ช่วงฟ้ามืดผู้น้อยจะส่งคนมารับองค์พระชายา”

ฉีเหยียนป่ายยิ้มแย้ม รีบร้อนจากไป

รอจนฉีเหยียนป่ายจากไป กู้อ้าวเวยจึงเดินเข้าไปในเรือนกับกุ่ยเม่ย

“ข้ารู้สึกว่าท่านอ๋องไม่น่าดีกับองค์ชายสี่ขนาดนี้” กุ่ยเม่ยลดเสียงกล่าวกระซิบ

“หากเขาหวังดีต่อองค์ชายสี่จริง เพียงมอบอำนาจทางทหารให้แก่เขาอย่างบริสุทธิ์เปิดเผยก็เพียงพอ”กู้อ้าวเวยกำหมัดแน่น

เห็นได้ชัดเมื่ออยู่ในเมืองเทียนเหยียน ซ่านจินจื๋อโปรดปรานซ่านเชียนหยวนจนแทบทุกคนนั้นรู้กันทั่ว ตราบใดที่ซ่านเชียนหยวนไม่ฝ่าฝืนกระทำผิดร้ายแรง ซ่านจินจื๋อล้วนเปิดตาข้างปิดตาข้างมาตลอด แม้กระทั่งเรื่องของซูพ่านเอ๋อร์ ซ่านจินจื๋อก็ไม่อาจลงมือโหดเหี้ยมกับองค์ชายสี่

มากพอที่จะเรียกได้ว่าโอ๋อย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ยามนี้จะส่งกองกำลังส่วนตัวในนามขององค์ชายสี่ไปเพื่ออะไร?

“พักเรื่องนี้ไว้ก่อน เจ้าทราบไหมว่าค่ายทหารนอกเมืองเยว่ซานมีบางอย่างแปลกๆ?”

“ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ข่าวสารรอบเมืองเยว่ซานล้วนเป็นเฉิงซานดูแล กระหม่อมเพียงปฏิบัติตามคำสั่ง” กุ่ยเม่ยเกาปลายจมูกด้วยความอึดอัด จนบัดนี้จึงพบว่าตนคล้ายไม่ได้รับความเชื่อถือจากซ่านจินจื๋อ

พลันทอดถอนใจเสียงอ่อน กู้อ้าวเวยจนปัญญา เพียงสามารถทำไปทีละขั้นทีละตอน

รอจนกระทั่งฟ้ามืด ฉีเหยียนป่ายได้ให้คนเตรียมรถม้าไว้แล้ว เดินทางข้ามคืนพานางมายังค่ายทหารในช่วงกลางคืน

ในช่วงราตรีดึกสงัด ภายในค่ายทหารที่ทอดยาวยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย หากตรงไปข้างหน้าอีกหน่อย ทั้งสองฝั่งจะเป็นหน้าหินผา ด้านล่างทางฝั่งขวาจะเป็นสถานที่ทั้งมืดและอับชื้น ทางฝั่งซ้ายจะเป็นถนนใหญ่ หากมีคนคิดจะมาฝั่งนี้แน่นอนว่าต้องผ่านถนนเส้นนี้

ฉีเหยียนป่ายช่วยประคองกู้อ้าวเวยลงจากรถม้าด้วยตนเอง “องค์พระชายา ท่านทราบหรือไม่ถนนข้ามพรมแดนคืออะไร?”

“ไม่ทราบ” กู้อ้าวเวยแสร้งทำท่าทีไม่รู้

“ถนนข้ามพรมแดนก็คือชาวต่างชาติ” ฉีเหยียนป่ายหน้านิ่ง กล่าวอย่างระมัดระวัง

ถนนข้ามพรมแดนนี้หากเดินไปสองร้อยลี้ จะเป็นสี่แคว้นเล็ก ซึ่งสี่แคว้นเล็กเหล่านั้นถึงแม้จะยอมก้มหัวให้กับชางหลาน แต่ในช่วงเวลาที่รากฐานชางหลานไม่มั่นคง สี่แคว้นเล็กนี่กลับมีชื่อเสียงเกรียงไกร ปัจจุบันที่หลายร้อยปีผ่านไปแคว้นเล็กๆเหล่านี้ยังคงนิ่งเงียบซบเซาไม่มีสิ่งใหม่ออกมา จนเทียบไม่ได้กับความเจริญรุ่งเรืองของชางหลาน

“แต่พวกมันมีร่างกายที่พละกำลังดุร้าย ได้ใช้เวลาหลายร้อยปีสะสมบำรุงกำลัง หลายปีนี้ได้หยั่งเชิงสามถึงห้าครั้งล้วนเป็นท่านอ๋องนำคนมาขับไล่พวกมันล่าถอยด้วยพระองค์เอง เพียงเพื่อความสัมพันธ์ทางการฑูตไม่กี่แว่นแคว้นจึงยังไม่เคยพูดความลับนี้ออกมา” ฉีเหยียนป่ายกล่าวถึงตรงนี้พลันทอดถอนหายใจเสียงเบา

ทว่ากู้อ้าวเวยไม่ทราบอย่างจริงจังว่าแคว้นเล็กๆเหล่านั้นจะร้ายกาจเช่นนี้ กุ่ยเม่ยก็ใบหน้าตะลึงลานไม่แพ้กัน

“เอ่อร์ตันและเจียงเยี่ยนหลายปีนี้ได้เข้าบุกยืดดินแดนโดยรอบ ยามนี้แม้ไม่เทียบเท่าชางหลาน แต่ถ้าหากสองแคว้นนี้ดึงดูดประเทศต่างแคว้นเหล่านั้นเป็นพรรคพวก สักวันจะกลายเป็นอุปสรรคของพวกเราชางหลาน” ฉีเหยียนป่ายกล่าวถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจอีกครั้ง “น่าเสียดายที่ฝ่าบาทเพียงมองเห็นแต่ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรือง สำหรับเอ่อร์ตันและเจียงเยี่ยนมิเคยสนพระทัยถามไถ่ ยามนี้ยิ่งต้องการกระจายอำนาจทางทหารไปยังองค์ชาย กองกำลังท่านอ๋องเองก็ยังอับจนปัญญา”

กู้อ้าวเวยกลับหัวเราะเสียงอ่อย

ความสงบสุขรุ่งเรืองหลายร้อยปีของชางหลาน ก็เป็นแค่เปลือกบางๆเท่านั้น

แต่ทว่าการที่ฮ่องเต้กระจายอำนาจทางทหาร เป็นการตรวจและสอบถ่วงดุลว่าชางหลานมีความผิดปกติหรือไม่?

ฉีเหยียนป่ายต้องการเลี่ยงหนักเป็นเบาต่อหน้านาง เกรงว่าคงไม่สามารถ “ใต้เท้าฉี ข้าใคร่ถามท่านสักประโยค”

“พระชายาเชิญถาม” ฉีเหยียนป่ายรีบมองมา

“ใต้เท้าฉีคิดว่า เหตุใดชางหลานเราแม่ทัพเก่งกาจถึงไม่ปรากฎออกมา ไม่ว่าเผชิญกับเรื่องใดทำได้เพียงรอคอยท่านอ๋องมาคลี่คลายเท่านั้นหรือ?”

ฉีเหยียนป่ายครุ่นคิดพลันหัวเราะตอบ “ย่อมเป็นเพราะท่านอ๋องเป็นเสาหลักของกระหม่อม”

“เช่นนั้นหากเทพแห่งสงครามขึ้นครองราชบัลลังก์ เสาหลักต้นนี้ได้เปลี่ยนย้ายตำแหน่งแล้วจะปกป้องครอบคลุมทั้งชางหลานได้อย่างไร? ปลายนิ้วของกู้อ้าวเวยเคาะบนบ่าของฉีเหยียนป่ายเบาๆ น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นราวกับฟ้าร้องคำรามลงที่กลางหัวใจของฉีเหยียนป่าย

บรรดานายทหารที่เลือดร้อนเดือดพล่าน สุดท้ายก็จะกลายเป็นตัวหมากในกลยุทธ์แห่งราชบัลลังก์ ย่อมสมควรไม่มีแม่ทัพขุนศึกคนใดที่สามารถปกบ้านป้องเมืองได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์