บทที่ 441 ใต้คลองลั่วส่วย
กู้อ้าวเวยผวาตัวสะดุ้งตื่นจากความฝัน ตามเนื้อตัวยังหลงเหลือกลิ่นดินโคลนของซ่านจินจื๋อที่เข้าร่วมทัพมา
กุ่ยเม่ยที่นอนงีบอยู่ฟากหนึ่งเมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของนางก็สะดุ้งตกใจขึ้น มองเห็นเพียงแค่ดวงตาทั้งสองข้างของกู้อ้าวเวยที่เหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปเป็นเวลานานถึงได้ยกมือขึ้นบีบนวดตรงกลางระหว่างคิ้ว ดึงเอาเสื้อคลุมที่อยู่ด้านข้างแล้วผุดตัวลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปคลองลั่วส่วยกับเขาดูสักหน่อย”
“ฟ้ายังไม่ทันสว่าง”กุ่ยเม่ยกอดมือทั้งสองข้างเอาไว้พลางสำรวจดูนาง “ท่านเพิ่งนอนไปได้เพียงชั่วเวลาธูปดับ”
“เร็วขนาดนั้นเลยรึ?”กู้อ้าวเวยเองก็รู้สึกตกใจไม่ใช่น้อย เพียงซับเม็ดเหงื่อที่อยู่ตามไรหน้าผาก คิดถึงความฝันที่ซ่านจินจื๋อและซูพ่านเอ๋อทั้งสองคนมีการแสดงออกอย่างผิดแผกออกไป ท้องไส้ก็พลอยปั่นป่วนขึ้น
นางอ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ถึงได้หวนกลับมายังค่ายทหารที่อยู่ใกล้ ๆ
ซ่านจืนจื๋อได้นั่งอยู่บนม้าสีดำสนิทเป็นที่เรียบร้อย ชุดเกราะเครื่องรบสีเงินภายใต้แสงอาทิตย์ในยามเช้าทอแสงประกายจาง ๆ เป็นที่สบายตา ช่างตรงกันข้ามกับสายตาคู่นั้นที่แหลมคมดุจพญาอินทรีย์
มีคนจูงเอาม้าตัวหนึ่งมาให้กู้อ้าวเวย นางจำเป็นต้องแสร้งปีนขึ้นไปด้านบนด้วยท่าทีเซอะ ๆ ซะ ๆ เดิมทีคิดว่าซ่านจินจื๋อจะพาคนไม่กี่คนไปคลองลั่วส่วยด้วยกัน แต่กลับได้ยินซ่านจินจื๋อเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างเยียบเย็นว่า “เรื่องนี้จะให้คนอื่นรู้เข้าไม่ได้ ให้บอกไปว่าข้ายังอยู่ที่ค่าย”
“พ่ะย่ะค่ะ”ผู้ช่วยที่อยู่ข้างกายเข้าใจอย่างกระจ่างชัด
“ไม่พาคนไปด้วย หากเกิดเรื่องขึ้นกับท่านอ๋องแล้วควรจะทำเยี่ยงไร”กู้อ้าวเวยคิดถึงความฝันในเมื่อครู่อีกครั้ง ราวกับว่าความฝันที่เกี่ยวข้องกับซ่านจินจื๋อนั้นมักจะมีกลิ่นคาวของหยาดโลหิต นางเองก็รู้สึกไม่พึงพอใจอย่างไม่ทันได้รู้ตัวที่ซ่านจินจื๋ออยู่เพียงลำพัง
“ไม่มีใครหน้าไหนจะมาทำอันตรายข้าได้หรอก”ซ่านจินจื๋อดึงบังเหียนเดินตรงไปที่ด้านหน้า
กู้อ้าวเวยจึงจำใจที่จะติดตามไปด้วยอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ ในสมองรู้สึกมึนงงแล้วก็คิดถึงเมื่อวานที่ซู่พ่านเอ๋อได้ชี้ไปที่ตัวเองด้วยความตกใจ ปลายนิ้วก็กุมเอาไว้ที่ท้องน้อยอย่างไม่ทันได้รู้ตัว ขาทั้งสองข้างภายใต้ลมหนาวเย็นก็เจ็บปวดขึ้นอย่างยากที่จะอดทนได้
บุรุษที่อยู่ตรงหน้าควบม้าอย่างไม่ยั้งอยู่ภายในป่า ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่ดูระแวดระวังหรือลำแขนที่เต็มไปด้วยพละกำลัง ล้วนแต่เพียงพอที่จะให้ความรู้สึกปลอดภัยและความเชื่อมั่นต่อพลทหารไม่ว่าจะคนไหน ๆ แต่กู้อ้าวเวยกลับกลัวที่จะอยู่กับเขาเพียงลำพัง
คลองลั่วส่วยห่างจากค่ายทหารที่อยู่นอกเมืองราว ๆ สามสิบลี้ เพียงเพราะว่ากู้อ้าวเวยต้องแกล้งทำเป็นขี่ม้าไม่เป็น คืบคลานไปบนเส้นทางนี้เป็นเวลานาน นับว่ามาถึงที่ด้านหน้าของคลองลั่วส่วย นายทหารสองคนที่แฝงตัวอยู่ในพงหญ้าได้เดินออกมาทำความเคารพ พาพวกนางมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ด้านนอกของที่ที่มีพิษ
ภายในและภายนอกบริเวณที่มีพิษไม่ได้มีความแตกต่าง ถ้าหากว่าไม่มีทหารที่ไม่ทันระวังตัวโดนพิษจนหมดสติไป พวกเขาเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้
กู้อ้าวเวยและซ่านจินจื๋อปิดจมูกและปากเอาไว้แน่น
“มีวิธีแก้พิษได้” ซ่านจินจื๋อจ้องมองไปที่กู้อ้าวเวยตรง ๆ
กู้อ้าวเวยได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่แปลกประหลาดนี้เข้า ส่ายหน้าเบา ๆ ไปมาเพียงเท่านั้น “พิษนี้สะสมมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ข้าได้อ่านพงศาวดารประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมา ได้ยินมาว่าทายาทของผู้อาวุโสท่านนั้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนหน้ามานี้เคยไปที่หน้าผามาก่อน แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าออกมาได้หรือไม่ ถ้าหากว่าออกมาได้ ข้าคิดว่าที่ใต้หน้าผานี้ก็ควรจะต้องมีของให้กินได้” “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราใช้เชือกโรยตัวลงไปดูสักรอบก็รู้ได้แล้ว”พลทหารนายหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยปากพูดขึ้น
มือข้างหนึ่งของกู้อ้าวเวยคว้าเอาที่เถาวัลย์ อยู่ที่ริมหน้าผากวาดตามองไปทีหนึ่ง ก็ส่ายหน้าขึ้น “ต่อให้ใช้เชือกแล้ว ไม่มีวิชาลอยตัวที่เป็นเลิศก็ยังยืนไม่อยู่ ตรงด้านล่างหน้าผาแห่งนี้คงจะมีตะไคร่น้ำขึ้นเต็มไปหมด ”
พลทหารทั้งสองนายต่างก็รู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง กำลังประหลาดใจ มือข้างหนึ่งของซ่านจินจื๋อวางไว้อยู่ตรงเอวของกู้อ้าวเวย ใช้เถาวัลย์ที่แข็งแกร่งมัดรอบเอวลองคนทั้งสองเอาไว้ด้วยกัน พูดขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้าจะพาเจ้าลงไป เพียงแค่หาเศษซากหนังสือโบราณนั้นเจอก็พอแล้วใช่ไหม ”
“ก็น่าจะเป็นเยี่ยงนั้น”ใจของกู้อ้าวเวยก็เต้นไม่เป็นระส่ำขึ้น ผมของนางก็เหมือนจะพันกับคางของซ่านจินจื๋อเอาไว้ ผ่านไปไม่นาน ก็ได้ยินเสียงของซ่านจินจื๋อที่ดังขึ้น “ร่างของเจ้านี้ ไม่รู้ว่าดูแลกันมาอีท่าไหน เหมือนกับผู้หญิงเสียอย่างนั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์
นางเอกเหมือนจะเก่งแต่ก็ยอมให้ผัวทำร้ายร่างกายตลอด...
บางคำแปลแบบ งงๆ อ่านแล้วเหนื่อยเรื่องนี้ พักก่อน...
สรุปแล้วใครคือพระเอก อ๋องจิ้งไม่เหมาะเลย ขอเป็นคนอื่นแทนได้ไหม...