บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 88

ตอนที่ 88 คนของตำหนักอ๋องมากมาย

ตอนที่ 88 คนของตำหนักอ๋องมากมาย

ซ่านจินจื๋อตัวแข็งทื่อ เมื่อเห็นซูพ่านเอ๋อมองฝนที่ตกกระหน่ำด้านนอกหน้าต่างด้วยความคาดหวัง จึงเกิดความรู้สึกจนปัญญาอยู่ในใจ

ในช่วงวัยเยาว์ร่างกายของซูพ่านเอ๋อนั้นแข็งแรงมาก ในนั้นตอนนั้นนางกระโดดโลดเต้นตามใจตัวเอง แทบจะวิ่งเล่นบนภูเขาในละแวกนี้จนไม่มีเหลือเลยทีเดียว แต่หลังจากที่ค่อยๆเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ นางก็เติบโตขึ้นมาอย่างงดงามสง่าผ่าเผย ไม่สนใจแม้กระทั่งอาจารย์ผู้ที่สอนวิชาดาบอีก แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นเด็กสาวที่มีมรรยาท รักในศิลปะที่สี่ของจีน

หลังจากนั้น นางก็ป่วยเรื้อรังจนไม่ได้เห็นแม้แต่พันภูผาหมื่นธาราแต่อย่างใด ทำได้เพียงแค่อยู่คนเดียวในตำหนักสี่เหลี่ยมนี่เท่านั้น

“ท่านพี่จื๋อ หม่อมฉันขอไปหน้าผาหญ้าไป๋หยากับพวกท่านได้หรือไม่เพคะ?” ซูพ่านเอ๋อรีบหันกลับมาอย่าวรวดเร็ว จากนั้นก็มองไปทางซ่านจินจื๋อด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตา

หากนางอยู่ในตำหนักอ๋องแห่งนี้ต่อไป ซ่านจินจื๋อคงจะถูกคนอื่นช่วงชิงไปก็เป็นได้!

เพียงแต่น่าเสียดายที่ซ่านจินจื๋อส่ายหน้า: “ร่างกายของเจ้าอ่อนแอมากเกินไป ส่วนหน้าผาหญ้าไป่หยาก็เป็นสถานที่ที่หนาวเย็นมาก ฤดูกาลที่สี่ใน 1 ปีปกคลุมไปด้วยหิมะ แม้แต่แสงแดดก็ยากที่จะสาดส่องถึง”

“หม่อมฉันอยู่ในสถานที่อุ่นๆรอท่านพี่ก็ได้เพคะ” ซูพ่านเอ๋อพูดต่อ

“มันอันตรายเกินไป ห่างจากเมืองเทียนเหยียนไป ข้ายังมีศัตรูคู่อาฆาตไม่น้อย หากเจ้าได้รับบาดเจ็บแม้เพียงนิดเดียว ข้าจะทำอย่างไร” ซ่านจินจื๋อโอบกอดนางอยู่ในอ้อมแขน ก่อนจะจุมพิตลงบนหน้าฝากของนาง “ขอแค่ให้เจ้าอยู่ในตำหนักที่มีการคุ้มกันแน่นหนาแห่งนี้ ข้าถึงจะวางใจได้”

“งั้น.........งั้นท่านพี่จื๋อไม่จากไปได้หรือไม่เพคะ?” ซูพ่านเอ๋อรีบกอดตอบคนที่อยู่ตรงหน้า ด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจ

เมื่อซ่านจินจื๋อนึกถึงกู้อ้าวเวย ก็เกิดความเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อว่า :“ข้าต้องตามนางไป กู้อ้าวเวยโหดร้ายจะตาย หลิ่งหนานตระกูลหยุนก็จะตามข้าไปอย่างเงียบๆ”

“ข้าอยากอยู่ข้างกายของท่านพี่จื๋อตลอดเวลา” ในที่สุดซูพ่านเอ๋อร่ำไห้ออกมาในอ้อมแขนของซ่านจินจื๋อ :”หม่อมฉันไม่อยากอยู่ห่างกับท่านพี่จื๋อนานเช่นนั้นเลยเพคะ...........”

“พ่านเอ๋อ ข้าทำเพื่อเจ้า รอให้อาการป่วยบนร่างกายของเจ้าหายเป็นปกติ ข้าไม่จำเป็นต้องตามนางไปแล้ว นางจะกลายเป็นหมากตัวหนึ่ง ส่วนข้า ยังเป็นแค่ของเจ้าเพียงผู้เดียว เรายังมีอีกครึ่งชีวิตนะ” ซ่านจินจื๋อจูบลงบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาอย่างปลอบประโลม

ซูพ่านเอ๋อร้องไห้สะอึกสะอื้นจนอยากบอกความจริงกับเขา

แต่แววตาที่อ่อนโยนดุจน้ำที่ฉายออกมาดวงตาทั้งสองข้างของซ่านจินจื๋อ นางกลับไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

หากท่านพี่จื๋อรู้ว่าระยะเวลายาวนานที่ผ่านมานี้นางแกล้งป่วยมาโดยตลอด จะให้นางอยู่เคียงข้างเข้าได้อยู่อีกไหม?

นางพูดออกไปไม่ได้

นี่จะเป็นความลับไปตลอดชีวิต

ซ่านจินจื๋อปลอบโยนนางครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจของซูพ่านเอ๋อยังคงสับสนวุ่นวาย โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกอีกหลายครั้ง

ฝนที่ตกพรำๆข้างนอกหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว

กู้อ้าวเวยยังคงไอไม่หยุด จนร่างทั้งร่างอ่อนแอลงไปมากทีเดียว ทำได้แค่เพียงปีนขึ้นไปบนเตียงแล้วก็หลับไปเท่านั้น พร้อมกับร่างกายที่ถูกห่มด้วยผ้าห่มสองชั้น หวังแค่เพียงให้เหงื่อออก ตื่นขึ้นมาก็น่าจะหนาวขึ้นแล้ว

ก่อนเริ่มมื้อค่ำครึ่งชั่วโมงชิงต้ายได้มาปลุกนางแล้ว แต่นางยังรู้สึกวิงเวียน ราวกับยังรู้สึกทุกข์ทรมานอยู่ไม่น้อย ในตอนที่จากไปกลับถูกฉีหรัวเรียกไว้ นางเองก็ทำได้เพียงแค่นั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางอึดอัดเท่านั้น

ฉีหรัวกลับไม่เหมือนกับท่าทางที่ซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างยิ่งแต่อย่างใด แววตาที่เฉียบคมได้กวาดมองไปบนร่างกายของนาง: “พระชายา ข้ากับท่านก็ไม่ได้สนิทและไม่ได้เป็นพระสหายต่อกัน เหตุใดเจ้าถึงช่วยข้า?”

“หากช่วยเจ้าแล้วผิด งั้นข้าก็เป็นคนชั่วช้าแล้ว และข้ารู้ว่าเจ้ามีความสงสัยขึ้นเต็มอก แต่ข้าอยากช่วยให้เจ้าได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสำนักเยียนหยู่เก๋อจริงๆ สักวันหนึ่ง เจ้าก็จะว่าข้านั้นจริงใจหรือเสแสร้ง” นางพูดขึ้น พร้อมกับนวดขมับเพราะอาการปวดหัว

“พี่สาวรอง เดิมทีนางนั้นเป็นคนดี” ฉีหลินได้พุ่งเข้ามาจากม่านฝน พร้อมกับดึงฉีหลินที่อยู่ด้านนอกมาด้วยอย่างจำใจ ก่อนจะพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ทำไมพี่สาวรองจะต้องบังคับขู่เข็ญเช่นนี้ นางเป็นคนดีมากจริงๆ”

ครั้งนี้ถึงตาฉีหลินที่รู้สึกลำบากใจ เพียงแต่น่าเสียดายที่นางไม่เชื่อคนอื่น จึงได้เอ่ยปากสอบถามอย่างสบายเช่นนี้ แต่เพราะการคบค้าสมาคมหลายวันก่อนหน้านั้น จึงไม่อยากยอกย้อน เมื่อเห็นกู้อ้าวเวยดูเหมือนจะแสดงท่าทางลำบากใจ นางแค่เพียงคิดก็เกิดอาการกระวนกระวายใจขึ้นมาแล้ว จากนั้นก็เดินขึ้นไปโอบนาง: “ข้าจะเรียกรถม้ามารับเจ้ากลับไปยังตำหนัก”

“ขอบใจมาก” กู้อ้าวเวยแสยะยิ้มมุมปาก พวกเขาสองพี่น้องได้พานางไปขึ้นรถม้า และนางก็เอาแต่หลับอยู่บนรถม้ามาตลอดทาง ชิงต้ายก็จนปัญญาเช่นเดียวกัน

ฉีหลินถือโอกาสไปค้างที่ร้านยาเหย้า 1 คืน แถมยังได้เรียนรู้ฝีมือของฉีหรัวอีกด้วย

ส่วนกู้อ้าวเวยก็ทำได้เพียงแค่ประคับประคองอาการวิงเวียนเดินมายังโต๊ะอย่างน่าสงสาร นางเปลี่ยนผ้าคลุมหน้าไปแล้วระหว่างทาง รสชาติยายังคงเข้มข้นมาก กู้จี้เหยาใช้ผ้าขึ้นมาปิดปากและจมูกไว้ หลานเอ๋อร์เองก็แสดงอาการเบื่อหน่ายอย่างเปิดเผย

ซูพ่านเอ๋อกลับพูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆว่า “อาการหนาวสั่นของพี่กู้นั้นร้ายแรงมาก ไปพักผ่อนดีๆสักสองสามวันเถอะ”

“ขอบใจในความหวังดีของแม่นางพ่านเอ๋อมาก เพียงแต่ยังไงก็ต้องออกไป ในตำหนักยังมีหนังสือเหลืออยู่อีกมากมาย และข้าอยากอ่านหนังสือมากจริง แต่ก็ไม่สามารถพักผ่อนได้ ” กู้อ้าวเวยทำได้เพียงแค่ขยี้จมูกจนเกิดอาการเจ็บ

ชิงต้ายที่อยู่ด้านหลังจึงได้สะกิดนางอย่างจนปัญญา คุณหนูป่วยเช่นนี้ จะกล้าไปพูดอะไรกับซูพ่านเอ๋อได้

ดูเหมือนว่าจะพูดมากเกินไป นางจึงทำได้เพียงแค่ขยี้จมูกด้วยความลำบากใจเท่านั้น จากนั้นก็ดึงมือของชิงต้ายมากุมไว้

“พี่โปรดปรานอ่านหนังสือเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันละเพคะ? ปกติแล้วมักจะเห็นแต่พี่เอาแต่เบื่อหน่ายกับหนังสือทางการแพทย์มาโดยตลอด” กู้จี้เหยายังพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ แต่กลับเติมซุปถ้วยหนึ่งให้แก่ซูพ่านเอ๋อตามที่หลานเอ๋อร์ได้บอกไว้ ก่อนจะพูดต่อว่า “หรืออาจจะเพื่อร่างกายของพี่ซู?”

กู้อ้าวเวยเห็นทั้งสองเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอึดอัดว่า: “ตั้งแต่ตอนไหนกันที่จี้เหย้าเข้าใจข้าเช่นนี้? ข้าจำได้ว่าปกติแล้วเจ้าไม่ค่อยอยากจะเจอข้าด้วยซ้ำ ตอนที่เจ้าเกิดมา เมื่อเจ้าเห็นข้าก็จิ้มๆไปบนจมูกของข้าจนร้องไห้ยกใหญ่ เพื่อให้ท่านพ่อโยนข้าออกไป"

ครั้งนี้ถึงตาที่ใบหน้าของจี้เหยาจะแสดงอาการลำบากใจออกมาแล้ว หลานเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังก็รีบพูดขึ้นทันใดว่า :“พระชายาพูดถึงตอนไหนหรือ เมื่อตอนนั้นคุณหนูรองยังเด็กมาก”

“ตอนนั้นเจ้ายังไม่ได้เข้ามาในตำหนัก ทำไมตอนนี้ถึงได้มาเชื่อเรื่องที่ปั้นขึ้นมาละ?” กู้อ้าวเวยมองไปทางนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็สั่งชิงต้ายนำอาหารแบ่งใส่ถ้วย นางถึงจะลงมือรับประทานอาหารทันใด

หลานเอ๋อร์พลาดท่าจนพูดไม่ออก ซูพ่านเอ๋อเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงได้รีบยกซุปที่กู้จี้เหยายื่นมาให้ขึ้นดื่มไปอึกหนึ่ง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า :“น้องจี้เหยาช่างมีจิตใจที่งดงามเสียจริง”

กู้อ้าวเวยยักไหล่ โดยไม่ต่อว่าต่อขานทั้งสองคนอีก

ซ่านจินจื๋อคอยมองท่าทางของทั้งสามคนอยู่ในสายตาอยู่ตลอดเวลา ซูพ่านเอ๋อเองก็เติมซุปก่อนยื่นให้แก่เขา: “ท่านพี่จื๋อ ตอนนี้คนในตำหนักอ๋องก็มีมากมาย และยังคึกคักขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย”

“หากเจ้าชอบ ก็ให้กู้จี้เหยาไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าบ่อยๆสิ” ซ่านจินจื๋อพยักหน้าด้วยความจริงใจ

“วันข้างหน้าข้าจะข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนพี่ซู” กู้จี้เหยารีบแสดงทัศนคติออกมา ซ่านจินจื๋อก็ชำเลืองมองไปทางนางบางๆ ทั้งใจและสายตาล้วนแล้วแต่มีแต่ซูพ่านเอ๋อผู้เดียว

ในขณะที่กู้อ้าวเวยกำลังกินอาหารอย่างช้าๆอย่างเป็นระเบียบ และคิดจะจากไปอยู่นั้น ซ่านเชียนหยวนกลับย่างก้าวเข้ามา เมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะนี้ นิ่งอึ้งอยู่เช่นเดิม ก่อนจะขยี้หัวไปเล็กน้อย:“ขอประทานอภัย เสด็จอา หลานลืมไปว่าท่านมีนางสนมอยู่ในห้องด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่หลานเห็นคุณหนูรองกู้ ช่างไร้มารยาทเสียจริง”

“ไม่เป็นไร” กู้จี้เหยาลำบากใจ เมื่อนึกถึงตอนที่ใช้คำพูดรุนแรงบนเรือเที่ยวที่ล่องอยู่ในทะเลสาบ จากนั้นก็รีบกุลีกุจอสั่งให้คนเตรียมถ้วยและตะเกียบไว้

ซ่านเชียนหยวนนั่งลงทานอาหาร โดยที่ไม่มองไปทางกู้จี้เหยาอีก เห็นแต่เพียงกู้อ้าวเวยที่รับประทานอาหารด้วยท่าทางเคร่งขรึม ก่อนจะยิ้มออกมาทันใด :“เมื่อวานพระชายาทรงเปิดหน้าต่างอ่านหนังสือไม่ใช่หรือ อาการหนาวสั่นนี้ไม่มาหาเจ้าก็คงจะแปลกแล้วละ”

“เจ้าก็พูดเป็นนิ” กู้อ้าวเวยเช็ดน้ำตา ก่อนจะจ้องเขม็งไปทางเขา ซ่านเชียนหยวนกลับยิ้มออกมาด้วยความปิติยินดี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์