จากนั้นสีแดงเลือดนั้นก็แผ่ขยายออกมานอกดวงตา แล่นไปตามใบหน้าของเหลิ่งยวนราวกับลวดลายปีศาจอย่างไรอย่างนั้น
ผ่านไปชั่วครู่โม่อู๋เยว่ก็วางมือ เหลิ่งยวนกำหมัดไว้แน่นจึงไม่ได้ล้มลงไปกับพื้น เขาคุกเข่าลงคำนับ “ขอบคุณเจ้านายที่ไว้ชีวิต”
“แม้แต่ความผิดอันโง่เขลาเช่นนี้ก็ยังทำให้เกิดขึ้นได้ ไสหัวกลับไป ข้าจะให้ยินหันมาทำหน้าที่แทนเจ้า”โม่อู๋เยว่เหลือบมองเหลิ่งยวนอย่างเย็นชา มีความคิดที่จะฆ่าเหลิ่งยวนแล้ว แต่สุดท้ายก็เก็บมือกลับไป
เหลิ่งยวนก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม เขาผิดพลาดในหน้าที่ สมควรถูกลงโทษ
กำลังจะเปิดปากเอ่ยคำว่าน้อมรับคำสั่ง ในห้องก็มีเสียงของจูนจิ่วส่งออกมา ตัดบทของเหลิ่งยวน “อู๋เยว่”
ได้ยินเสียงของจูนจิ่ว โม่อู๋เยว่ก็เก็บสีหน้าเย็นชาอำมหิตบนใบหน้าไว้อย่างดี เขายิ้มแล้วก็หมุนตัวไป หางตาจึงเพิ่งเหลือบไปเห็นลี่หยุนซูที่ยืนตัวตรงอยู่อีกฟาก นิ้วของโม่อู๋เยว่เคลื่อนไหวเบาๆ ลี่หยุนซูก็ล้มตึงลงไปกับพื้น
เดินเข้าไปในห้อง จูนจิ่วกำลังทำหน้าแข็งทื่อเคลื่อนไหวมือและเท้าอย่างยากลำบาก เลิกแขนเสื้อขึ้นจนพบกับร่องรอยแห่งความรักที่มีอยู่เต็มแขน จูนจิ่วจึงดึงแขนเสื้อลงเพื่อปิดบังอย่างเงียบๆ บริเวณอื่นๆก็ไม่ต้องดูแล้ว คงจะมีมากพอๆกัน
ไม่มีพิษกู่หลงรักแล้ว ความทรงจำของจูนจิ่วก็ฟื้นคืนมา ทุกรายละเอียดไม่ขาดหายไปเลยสักนิด
นางยินดีที่จะนึกอะไรไม่ออกเลยก็ได้ ทำพฤติกรรมเชิญชวนเพื่อเสพสมกับโม่อู๋เยว่ ปวดหัวมากนางสามารถแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมได้หรือไม่
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ตื่นแล้ว”
“อืม ”จูนจิ่วออกกำลังมือและเท้าเรียบร้อยแล้ว นางเหลือบมองโม่อู๋เยว่แวบหนึ่งแล้วก็มองออกไปข้างนอกที่มีเหลิ่งยวนคุกเข่าอยู่ จูนจิ่วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเป็นคนให้เหลิ่งยวนไปฆ่าเมี่ยวยู่เอ๋อ ไม่เกี่ยวข้องกับเขา ข้าประเมินตู๋กูชิงกับหงยิงต่ำไป จึงได้เสียท่า ให้เหลิ่งยวนอยู่ต่อเถอะ ข้าคุ้นเคยกับเขามากกว่า ”
“ได้”โม่อู๋เยว่ไม่ลังเลเลยสักนิด รีบตอบตกลงจูนจิ่วทันที
พอเงยหน้าขึ้น จูนจิ่วก็มองออกไปนอกประตูชั่วครู่ เหลิ่งยวนกำลังมองมาที่นางอย่างซาบซึ้งใจ เหลือแค่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเท่านั้นแล้ว
มุมปากกระตุก จูนจิ่วละสายตาออกไป ความผิดของนางนางจะรับไว้เอง ไม่ให้คนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วย เหลิ่งยวนต้องซาบซึ้งขนาดนั้นเชียวหรือ
เหลิ่งยวน :แม่นางจูนเป็นคนดี
เหลิ่งยวนกำหมัดอย่าวแน่วแน่และซาบซึ้งใจ แอบคิดว่าต้องจับคู่แม่นางจูนกับเจ้านายให้สำเร็จ มีแม่นางจูนเป็นนายหญิง ชีวิตของพวกเขาจึงจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นคงถูกเจ้านายทรมานราวกับสุนัขตัวหนึ่งทุกวัน
โม่อู๋เยว่ก็มองเห็นสีหน้าของเหลิ่งยวนเช่นกัน เขาใช้สายตาเย็นชามองกวาดไป เหลิ่งยวนรีบถอยออกไปพร้อมกับลากตัวลี่หยุนซูออกไปด้วย
โม่อู๋เยว่เก็บสายตากลับมา มองไปทางจูนจิ่วและพูดว่า “รู้สึกอย่างไรบ้าง”
สายตาของจูนจิ่วเหลือบไปเห็นมุมปากที่ถูกขบกัดจนแตกของโม่อู๋เยว่ รู้สึกผิดในใจชั่ววูบ นางเหมือนจะร้อนแรงราวกับไฟอย่างไรอย่านั้น ร่องรอยบนเรือนร่างของนางกับโม่อู๋เยว่ ต่างคนก็น่าจะพอๆกัน
ลูบใบหน้าตนเอง จูนจิ่วไอแห้งๆเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ค่อยยังชั่ว ข้าบรรลุนักจิตใหญ่ชั้นสองแล้ว พลังจิตก็แข็งแกร่งขึ้น ในตันเถียนยังมีพลังสายหนึ่งที่แข็งแกร่งมากเพิ่มขึ้นมา ค่อยๆย่อยสลายคาดว่าคงต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนจึงจะย่อยหมด นี่มันเรื่องอะไรกัน ”
พอตื่นขึ้นมา นอกจากความจำที่น่าอายไม่สามารถพบเจอหน้าผู้คนได้
จูนจิ่วไม่เพียงแต่จะฝึกฝนจนบรรลุ พลังจิตก็แข็งแกร่งขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือ ในร่างกายยังมีก้อนพลังอันกล้าแกร่งสายหนึ่ง เมื่อใช้พลังจิตในการสำรวจแล้วได้คำตอบว่า พลังนี้แข็งแกร่งกว่าพลังที่ได้จากหินทิพย์เป็นอย่างมาก แค่ย่อยและซึมซับพลังสายนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถบรรลุนักจิตใหญ่ชั้นสามได้ หรือแม้กระทั่งนักจิตใหญ่ชั้นสี่
พลังนี้มาจากที่ไหนกัน
คางถูกโม่อู๋เยว่จับให้เงยขึ้น ใบหน้าปีศาจอยู่ใกล้ชิดกันมาก อ้าปากพูดด้วยน้ำเสียงเอือมระอาและเกียจคร้าน “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ลืมไปแล้วหรือว่าพวกเราเพิ่งจะฝึกคู่กัน”
ปัง
สมองระเบิดออก ทันใดนั้นใบหน้าก็แดงดุจลูกแอปเปิล
จูนจิ่วแกะมือของโม่อู๋เยว่ออกอย่างยากลำบาก ฝืนใจปั้นหน้าเย็นชาจ้องมองโม่อู๋เยว่ “แค่ฝึกคู่เท่านั้น ไม่ต้องใช้น้ำเสียงหยอกเย้ายั่วยวนดูดวิญญาณขนาดนี้ คนไม่รู้เขาจะคิดไปเองได้ว่าพวกทำอะไรกัน”
“หรือจะบอกว่าไม่ได้ทำ”โม่อู๋เยว่ถามกลับด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...