ดูท่าแผนการเปลี่ยนวงรัศมีเป็นสีเขียวจะดำเนินการต่อไปไม่ได้แล้ว เสิ่นเทียนเกิดความตื่นตัวขึ้นมาในใจ
เขายิ้มน้อยๆ “ข้าก็เคยได้ยินชื่อเสียงโด่งดังของศิษย์น้องอวิ๋นตี๋จากศิษย์พี่หญิงอวิ๋นซีเหมือนกัน”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเสิ่นเทียน ใบหน้าหล่อเหลาของฉินอวิ๋นตี๋มีความจนปัญญาเสี้ยวหนึ่ง “ศิษย์พี่หญิงต้องบอกว่าข้าเดินทางไม่ถูกต้องแน่ๆ!”
ใบหน้าฉินอวิ๋นตี๋ไม่มีความแปลกใจใดๆ เลย เพราะคนที่พูดเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงจางอวิ๋นซีคนเดียว พูดได้ว่าทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสแทบทุกคนต่างมองไม่ดีที่เขาศึกษายันต์อัสนี
ดังนั้นศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ท่านนี้ก็จะมาให้ข้าทำงานความคิดเหมือนกันหรือ
คิดได้ดังนั้น ฉินอวิ๋นตี๋พลันรู้สึกเบื่อหน่ายไร้รสชาติ
ทว่าเสิ่นเทียนกลับยิ้ม “ศิษย์น้องเข้าใจผิดแล้ว ความหมายของศิษย์พี่คือข้าสนใจศึกษายันต์อัสนีมากต่างหาก”
คำพูดของเสิ่นเทียนทำให้ฉินอวิ๋นตี๋ตาเป็นประกาย เหมือนเจอคนรู้ใจ “ศิษย์พี่จริงจังรึ”
เสิ่นเทียนพยักหน้า “ความรุ่งโรจน์ในชั่วพริบตาของระเบิดยันต์อัสนีเรียกได้ว่าเป็นศิลปะ”
ฉินอวิ๋นตี๋อึ้งไปนิดๆ “ศิลปะ ศิลปะอะไร”
เสิ่นเทียนขบคิดแล้วอธิบาย “ก็ศิลปะไง~ สิ่งที่เจ้าคิดว่างดงามที่สุดนั่นคือศิลปะ”
ฉินอวิ๋นตี๋เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง ดวงตาตี่ในตอนแรกค่อยๆ กว้างขึ้น
ในนั้นมีประกายความตื่นเต้น เฝ้ารอคอย โหยหาและแสวงหาขยับวูบวาบอยู่
เขาพูดงึมงำกับตัวเองว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ศิลปะก็คือการระเบิด!”
…..
เอ่ยจบ ฉินอวิ๋นตี๋มองเสิ่นเทียนด้วยความซาบซึ้งใจ นั่นคือความรู้สึกที่ได้เจอคนรู้ใจ
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง “ศิษย์พี่ท่านบอกว่าท่านชอบศึกษายันต์อัสนี นี่จริงรึ”
เห็นฉินอวิ๋นตี๋พูดจาสลับมั่วไปหมดแล้ว เสิ่นเทียนก็กระอักกระอ่วนขึ้นมา “ถ้าศิษย์น้องยินดีก็มาแลกเปลี่ยนกันได้”
เสิ่นเทียนเดินมาริมทะเลสาบกระจกจันทราช้าๆ ก่อนหยิบลูกประคำเก้าโอรสออกมาวางตรงกลางมือเบาๆ ทันใดนั้นลูกประคำพลันส่องอ่อนไปกลางทะเลสาบกระจกจันทรา
จากนั้นน้ำทะเลสาบกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นจากกลางทะเลสาบ ลอยอยู่ตรงหน้าเสิ่นเทียนกับฉินอวิ๋นตี๋
ฉินอวิ๋นตี๋ตะลึงไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจนิดๆ ว่าศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์คนใหม่นี้คิดจะทำอะไรกันแน่
“เมื่อครู่ข้าสังเกตมาสักพักแล้ว ศิษย์น้องเหมือนจะยึดมั่นในการเขียนอักขระยันต์อัสนีกับการวางตำแหน่งค่ายกล นี่เป็นวิธีที่เสริมอานุภาพให้ยันต์อัสนีได้จริงๆ แต่ไม่ใช่ทางเลือกเดียวของศิษย์น้อง บางครั้งถ้าศิษย์น้องยินดีจะเปลี่ยนแนวทางก็อาจจะพบโลกใหม่ก็ได้!”
เสิ่นเทียนยิ้มไปพลางส่งพลังสายฟ้าเข้าไปในน้ำทะเลสาบกลุ่มนั้นไปพลาง
ทันใดนั้นกลุ่มน้ำทะเลสาบสูงเท่าคนนั้นเริ่มมีฟองอากาศผุดออกมาไม่หยุด เมื่อฟองอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ ปริมาตรของน้ำทะเลสาบกลุ่มนั้นก็เล็กลงเรื่อยๆ เช่นกัน
ฉินอวิ๋นตี๋เหม่อมองการควบคุมของเสิ่นเทียน เวลานี้ไม่เข้าใจเลยว่าศิษย์พี่ท่านนี้จะทำอะไรกันแน่ อีกทั้งน้ำทะเลสาบเยอะขนาดนั้น เหตุใดถึงหายไปต่อหน้าสองคนในพริบตา!
ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้กำลังแสดงกลอุบายมหัศจรรย์อะไรกันแน่
……..
ในที่สุด น้ำกลุ่มใหญ่นั้นก็หายไปจนหมด แทนที่ด้วยกลุ่มอากาศที่หดเหลือเท่ากำปั้นลอยอยู่เหนือลูกประคำ
และเพราะกลัวว่าจะเห็นไม่ชัด เสิ่นเทียนเลยให้จิ่วเอ๋อร์เพิ่มพลังวิญญาณสีเขียวตรงมุมกลุ่มอากาศนั้นเป็นพิเศษ
เสิ่นเทียนเห็นฉินอวิ๋นตี๋ทำหน้างงแล้วก็เผยรอยยิ้มลึกลับ “ต่อไปจะเป็นช่วงเวลาประจักษ์ปาฏิหาริย์”
เอ่ยจบ ลูกประคำส่งแรงดีดออกมา ดีดกลุ่มอากาศสีเขียวนั้นไปยังทะเลสาบกระจกจันทรา จากนั้นปลายนิ้วเสิ่นเทียนจุดประกายแสงอัสนีสีขาวสายหนึ่ง ขยับวูบวาบไม่มั่นคง
ฉินอวิ๋นตี๋เห็นชัดเจนว่านั่นเป็นเพียงวิชาอัสนีที่ตื้นเขินที่สุดของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ไม่มีธาตุใดๆ อยู่ อีกทั้งเขายังสังเกตเห็นว่าเสิ่นเทียนรวมสายฟ้านี้ออกมาน่าจะมีพลังวิญญาณราวๆ หลอมปราณขั้นหนึ่ง
ดังนั้น ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์จะทำอะไรกัน!
ช่วงที่ฉินอวิ๋นตี๋เกิดความสงสัยขึ้นในใจนั้น กลับเห็นว่าประกายสายฟ้าตรงปลายนิ้วเสิ่นเทียนพลันยิงไปทางกลุ่มแสงสีเขียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน