บทที่ 162 บทนี้มันไม่สมเหตุผลเกินไปแล้ว
ตอนนี้เสิ่นเทียนกำลังคิดแค่ว่าจะทำป้ายหลุมศพให้เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าอย่างไร! จู่ๆ ก็เกิดสัญญาณเตือนทั่วร่าง เขาจะไปกล้ารับการโจมตีด้วยโทสะของจางอวิ๋นซีหรือ
เขาจึงรีบขว้างป้ายหลุมศพในมือใส่จางอวิ๋นซี จากนั้นหยิบโล่เต่าดำออกมาขวางหน้านางไว้
บึ้ม!
แค่ป้ายหินก้อนเดียวจะไปต้านการโจมตีของจางอวิ๋นซีได้หรือ
วินาทีที่ป้ายหินปะทะกับหมัดของจางอวิ๋นซี มันก็กลายเป็นเศษหินกระจายเต็มฟ้า
เสิ่นเทียนยังไม่ทันยืนไว้อาลัยให้เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าก็รู้สึกว่าโล่เต่าดำเหมือนถูกรถบรรทุกชน ตัวเขากระเด็นลอยไปสิบกว่าจั้ง จนเมื่อฝืนยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว มือสองข้างชา โล่แทบจะถูกกระแทกปลิวไป
ซี้ด!
สมกับเป็นศิษย์พี่หญิง!
พลังสัตว์ประหลาดนี่น่ากลัวเช่นนี้เลย!
เสิ่นเทียนยังไม่ทันอุทานก็หน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง เพราะพลังในตัวจางอวิ๋นซียังคงพุ่งขึ้นต่อไป
ตลก หลังจากได้รับอัสนีเทพกำเนิดฟ้ามาแล้ว กำลังรบของจางอวิ๋นซีก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแค่ทะลวงระดับแก่นพลังทองรอบแปด แต่ยังมีอัสนีเทพกำเนิดฟ้าคุ้มกายและเสริมพลังให้อีก
ถ้ากระตุ้นต้นกำเนิดอัสนีเทพกำเนิดฟ้าตรงระหว่างคิ้วให้มาเสริมกาย ก็จะปราบผู้แข็งแกร่งแก่นพลังทองแปดรอบคนอื่นๆ ได้
แม้เสิ่นเทียนจะพลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก กระทั่งเอาชนะผู้แข็งแกร่งระดับแก่นพลังทองส่วนใหญ่ได้ แต่ว่านี่ต้องเจอกับแม่เสือสาวเชียวนะ!
และที่สำคัญกว่านั้นคือตอนนี้เสิ่นเทียนยังสวมเกราะนักรบสตรีของผู้อาวุโสเสินสุ่ยหลิง จะมีหน้าไปสู้กับจางอวิ๋นซีได้หรือ
ด้านหนึ่งคือพลังแข็งแกร่งปานนี้ อีกด้านคือกลัวว่าจะถูกรู้ตัวตนจริงๆ ความมุ่งมั่นในการต่อสู้จึงไม่เท่ากัน
ด้วยความที่คนหนึ่งต่ำลงคนหนึ่งสูงขึ้น เสิ่นเทียนเลยได้แต่ใช้โล่เต่าดำสู้ไปพลางถอยไปเรื่อยๆ
“บัดซบ นางหญิงปีศาจเจ้ากล้าขโมยโล่เต่าดำของศิษย์น้อง! ศิษย์น้องเสิ่นเทียนอยู่ที่ใด ส่งเขาออกมา!”
ด้วยความเฉื่อยทางความคิด ทำให้จางอวิ๋นซีไม่คิดไปถึงทางนั้นเลย นางมั่นใจว่าหญิงเกราะฟ้าคนนี้คือนางปีศาจหญิงในที่ราบหมอกลับแลอย่างแน่นอน
ถ้าไม่อย่างนั้น เหตุใดถึงสวมสิ่งยืนยันความรักที่นางให้ศิษย์น้องกับโล่เต่าดำล่ะ
ศิษย์น้องเสิ่นเทียนจะต้องโดนนางจับตัวไปแน่ แค่จัดการนางปีศาจหญิงนี่ได้ก็จะช่วยศิษย์น้องเสิ่นเทียนได้!
รอเดี๋ยว…
จางอวิ๋นซีเพ่งสายตามองไปยังหลุมศพข้างๆ ทันใดนั้นนางตัวสั่นสะท้านเบาๆ ความคิดน่าสะพรึงพุ่งขึ้นมาในใจ
หรือว่า…หรือว่าศิษย์น้องเสิ่นเทียนจะถูกฆ่าตายแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น ความโมโหพุ่งขึ้นมาในใจจางอวิ๋นซีทันที พลังที่ไม่เคยมีมาก่อนหลั่งทะลักมาจากในกายนาง อัสนีเทพกำเนิดฟ้าแผ่กระจายไปทั่วร่าง
แก่นพลังทองสว่างพร่างพราวดวงหนึ่งลอยขึ้นมาจากในกายจางอวิ๋นซี เปล่งแสงเทพกว้างใหญ่ยิ่ง
แก่นพลังทองลูกนี้กำลังปริแตก เศษหลุดร่วงจากเปลือกแก่นพลังทองทีละชิ้น เผยแสงสีทองที่สว่างจ้ายิ่งกว่าข้างใน
ใช่ จางอวิ๋นซีกำลังทะลวงพลัง
นางเดินหน้าก้าวใหญ่อีกก้าวในระดับแก่นพลังทองแปดรอบ
ตอนนี้กำลังรบของนางไม่ด้อยไปกว่าฟางฉางเลย กระทั่งแข็งแกร่งกว่า!
……
บนฟ้า เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับนักพรตชรามองหน้ากัน
นักพรตชรามีสีหน้าน่าชมยิ่ง ทางด้านเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ระลอกคลื่นประกายเซียนบนผิวกายแทบจะระเบิด
นักพรตชรามุมปากกระตุก “ศิษย์น้อง เจ้าคิดว่าเจ้านี่จะใช่เขาหรือไม่”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ “เหอๆ…แค่กๆ นี่ไม่มีทางใช่เสิ่นเทียน”
นักพรตชราทำหน้าดีใจที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ “อย่ามาเลย หน้ากากขนหงส์นั่นขวางพลังจิตเจ้าได้รึ”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ฝืนคงสภาพไม่ยินดียินร้ายในระดับสูงสุดไว้ ก่อนจะพูดอย่างเฉยชา “นางหญิงปีศาจนี่ไม่ใช่เสิ่นเทียน”
“ศิษย์น้อง หรือว่าเจ้าไม่รู้สึกกัน นี่คือเกราะนักรบระดับสมบัติวิญาณขั้นสูงสุดเลย”
เถาวัลย์มรกตปะทะกับหมัดขวาของจางอวิ๋นซีอย่างแรง ก่อนจะถูกอัดถอยไป
แม้เถากลืนกินเซียนจะแข็งแกร่งยิ่ง แต่พลังบำเพ็ญของจางอวิ๋นซีสูงเกินไปจริงๆ คนเดียวเอาชนะได้สิบคน แต่เสิ่นเทียนก็ไม่เคยคิดจะใช้เถากลืนกินเซียนเอาชนะจางอวิ๋นซีได้อยู่แล้ว นี่มันไม่สอดรับความเป็นจริงเลย
ช่วงที่เถาวัลย์มรกตปะทะกับจางอวิ๋นซีนั้น เสิ่นเทียนพลันเปลี่ยนร่างไป เขาอาศัยแรงหมัดของจางอวิ๋นซีถอยร่นไปอย่างฉับพลัน
จากนั้นเถาวัลย์มรกตก็มุดลงดินเหมือนกับสว่าน
เพียงลมหายใจสั้นๆ ร่างเสิ่นเทียนก็หายไปต่อหน้าจางอวิ๋นซี ไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลย
จางอวิ๋นซีหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “ท่านพ่อ นางหญิงปีศาจนี่มุดดินจะหนีไปแล้ว ท่านช่วยออกมือปราบมันที!”
คำพูดของนางทำให้เสิ่นเทียนที่หมอบอยู่ใต้ดินอดเกิดความสิ้นหวังมิได้ อาจารย์บ้าก็มาด้วยหรือ
นั่นคือผู้อริยะระดับฝ่าด่านเคราะห์ เป็นคนที่เจ๋งกว่ามารดาเถาลวี่จีอีก
มุดดินต่อหน้าเขาไม่มีประโยชน์เลย!
หรือว่าชื่อเสียงวีรบุรุษชั่วชีวิตนี้ของข้าจะต้องพังลงในวันนี้กัน
……
ขณะที่เสิ่นเทียนกำลังพาว้าพะวงในใจนั้น ก็มีเสียงของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ดังขึ้นอย่างถูกต้องชอบธรรมบนฟ้า
“สวรรค์มีคุณธรรมเหลือล้น ข้าเห็นว่าสหายมีพลังบำเพ็ญไม่แกร่งพอ เลยทำใจทำลายรากฐานเจ้าไม่ได้จริงๆ ข้าจะให้เวลาสหายครึ่งชั่วยาม ขอให้สหายปล่อยตัวลูกศิษย์ข้ามาด้วย
ถ้าเทียนเอ๋อร์บาดเจ็บแม้แต่ขนเส้นเดียว ข้าจะใช้โลหิตเซ่นไหว้ที่ราบหมอกลับแล! จำไว้ ตระเตรียมขอขมาเทียนเอ๋อร์ให้พร้อม ส่งเขาออกมาจากพื้นดินเสีย!”
เมื่อได้ยินคำประกาศสั้นๆ ของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แล้ว เสิ่นเทียนซาบซึ้งใจยิ่ง ขณะเดียวกันยังถอนหายใจโล่งอก ไม่นึกเลยว่าแม้แต่อาจารย์ยังมองข้าไม่ออก
ยังดีๆ รอเปลี่ยนชุดแล้วออกไปทักทายจากอีกทาง เท่านี้ข้าก็จะรักษาชื่อเสียงวีรบุรุษชั่วชีวิตนี้เอาไว้ได้แล้ว
แต่ว่าหน้ากากขนหงส์มีผลอำพรางได้กระทั่งผู้อริยะเลยหรือ
บทของหน้ากากนี่มันไม่สมเหตุผลเกินไปหน่อยกระมัง!
………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน