บทที่ 192 ช่วยไม่ได้ ทนไม่ไหวแล้ว มันร้อนเกินไป!
เสิ่นเทียนบอกลาชาวเมืองที่อาลัยอาวรณ์และเตรียมจะจากไป
สิ่งที่ควรค่าเอ่ยถึงคือ การช่วยชาวเมืองภูเขาดำครั้งนี้ยังได้บางสิ่งที่เหนือความคาดหมายมา
นั่นคือบุญคุณที่เสิ่นเทียนช่วยมารดาของเหลียงเฉิน เขาจึงตามเสิ่นเทียนมาจะเป็นวัวเป็นม้าทดแทนคุณ
นี่ทำให้เสิ่นเทียนปวดไข่มาก เจ้าจะเป็นวัวเป็นม้าอะไรให้ข้ากัน ข้าไม่มีหญ้าให้เจ้ากินสักหน่อย
ช่วยไม่ได้ เสิ่นเทียนเลยได้แต่แสร้งทำเป็นเย็นชาและสูงส่ง ให้เหลียงเฉินไปคารวะอาจารย์ที่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ หากเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ นั่นหมายความว่ายังไม่สิ้นวาสนา
สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญระดับสร้างฐานอย่างเหลียงเฉินแล้ว การเดินทางจากเมืองภูเขาดำไปแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ถือว่าง่าย ทว่าด้วยดวงชะตาของเหลียงเฉิน หากตัดสินใจจะไปเทพสวรรค์จริงๆ แล้วก็อาจจะไม่ได้อันตรายอะไรมาก
หากเหลียงเฉินไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จริงๆ ก็จะเข้าฝ่ายได้ด้วยข้ออ้างของเสิ่นเทียน
ด้วยดวงชะตาเกือบสีแดงของเขา ถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถสำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เลย ถึงอย่างไรยุงตัวเล็กกว่านี้ก็ยังเป็นเนื้อ
ความรุ่งเรืองของแดนศักดิ์สิทธิ์หนีไม่พ้นโอรสสวรรค์ที่สุดแห่งยุคที่มีวงรัศมีสีทองอย่างจางอวิ๋นซีและจางอวิ๋นถิง แต่ก็หนีไม่พ้นเสาเอกวงรัศมีสีแดงเช่นกัน
ผักกุยช่ายดวงชะตาหรือ แน่นอนว่าจะมีแต่ประโยชน์เพิ่มขึ้น!
………
หลังออกจากเมืองภูเขาดำมา เสิ่นเทียนก็เหาะไปทางเหนือตามภาพโชคลิขิตในความทรงจำ
ขี่ปืนไปราวสามร้อยลี้ก็หาหุบเขาแห่งหนึ่งพบ นี่ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าที่ตนหลงทางจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ดาวเหนือมาเมืองภูเขาดำเป็นเพราะแผนที่ไม่ชัดเจนพอ!
ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนเป็นแผนที่ที่แม่นยำ ข้าคงหาเจอทุกอย่าง!
นี่เป็นภูเขาใหญ่ที่รกร้างมาก นอกจากหญ้าป่าเหี่ยวเฉาแล้ว แทบจะไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ เลย ราวกับว่าสิ่งที่มีพลังชีวิตแฝงอยู่ถูกสูบจนแห้งไปหมด!
สถานการณ์เช่นนี้ จริงๆ พบเห็นได้ไม่น้อยในโลกบำเพ็ญเซียน ผู้ฝึกบำเพ็ญยากจนมากมายไม่มีศิลาวิญญาณก็จะวางค่ายกลรวมวิญญาณ ดูดพลังวิญญาณเบาบางจากพื้นที่กว้างรอบๆ หดมาเป็นพื้นที่เล็กให้ตนใช้ฝึกบำเพ็ญ
แน่นอน ค่ายกลเช่นนี้ใช้แล้วเป็นปัญหามาก อีกทั้งยังทำให้สภาพแวดล้อมรอบๆ ถูกทำลายอีก ขณะเดียวกันผลลัพธ์ยังไม่เท่าศิลาวิญญาณ ผู้ฝึกบำเพ็ญจากฝ่ายใหญ่ๆ ปกติจะไม่ทำเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้กัน เพราะหากแพร่งพรายออกไปก็น่าอายน่าดู
ทว่าผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตเป็นเผ่าปีศาจ ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้
เขารวมพลังวิญญาณหลายสิบลี้รอบๆ ผ่านค่ายกลรวมวิญญาณมาให้ตนเองฝึกฝน แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่พอให้เขากับร่างแยกเทพโลหิตที่สองใช้ฝึกบำเพ็ญ
ถ้าไม่อย่างนั้น ผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตคงไม่เสี่ยงเตรียมการฆ่าล้างเมืองภูเขาดำ ใช้โลหิตบริสุทธิ์ของมนุษย์ช่วยเสริมระดับพลังของร่างแยก
ภูเขารกร้างแห่งนี้กว้างใหญ่มาก แต่เสิ่นเทียนกลับไม่กังวล เพราะเขารู้ดีว่าผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตซ่อนคัมภีร์เทพโลหิตหน้าที่สองไว้ที่ใด
เสิ่นเทียนขี่ปืนบินไป ไม่นานก็มาหยุดตรงปากทางเข้าหุบเขาอันลึกลับ ดวงตาเร่าร้อน
ในหุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ กลิ่นหอมดอกไม้สีเขียวเอ่อล้น ต่างกับสภาพแวดล้อมรอบๆ ภูเขารกร้างอย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดมากว่านี่คือที่ปิดด่านบำเพ็ญของผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิต
ทางเข้าหุบเขานี้ยังวางค่ายกลง่ายๆ ไว้ เปล่งแสงสีโลหิต
เสิ่นเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก เกราะศักดิ์สิทธิ์หุบเหวมังกรลอยขึ้นมาทั่วร่างอีกครั้ง พลังงานสายฟ้าห้าชนิดรวมในมือเขา
“พลังเจ็ดส่วน!”
“กุม…อัสนี…กำ…เนิด…ฟ้า!”
บึ้ม!
ลูกกลมสายฟ้าสีทองลากผ่านฟ้า ข้างหลังยังมีลำแสงตามไป มันเหมือนกับทวนยาวสีทองพุ่งทะลวงเข้าไปในหุบเขาลับแห่งนี้
ปราการค่ายกลนั้นแม้จะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังไม่โหดเท่าแรงทะลวงของทวนยาว
ประกายแสงสีโลหิตแตกกระเซ็น เสิ่นเทียนตามกุมอัสนีกำเนิดฟ้าผ่าเข้าไปกลางหุบเขาตรงๆ
ฟู่ว!
ในที่สุดก็เข้ามาแล้ว
เสิ่นเทียนอดหอบหายใจมิได้
กุมอัสนีพลังเจ็ดส่วนสบายกว่าพลังสิบส่วนครั้งนั้นมาก
‘ดวงจิตดรุณของผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตอ่อนจริงๆ ไม่อยากเชื่อว่าอานุภาพของค่ายกลจะเปราะบางเช่นนี้’
เสิ่นเทียนแบะปาก คนปกติวางค่ายกลจะวางให้สอดคล้องกับกำลังรบของตนเอง กระทั่งแกร่งกว่ากำลังรบของตน ถ้าไม่อย่างนั้นเจ้าลงมือเองก็จบแล้ว จะเสียแรงวางค่ายกลเพื่ออะไร
ทว่าผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตวางค่ายกลป้องกันหน้าบ้านมีอานุภาพอย่างมากสุดกันผู้ฝึกบำเพ็ญแก่นพลังทองรอบสามได้เท่านั้น
ต้องบอกว่า เผ่ามนุษย์ในวิถีรองอย่างหลอมโอสถหรือวางค่ายกลนั้น มีข้อได้เปรียบเรื่องพรสวรรค์กว่าจริงๆ
หลังจากแก้ค่ายกลหน้าหุบเขาแล้วเสิ่นเทียนก็เดินไปกลางหุบเขา บางทีอาจจะเพราะมั่นใจในค่ายกลของตนมากไป ผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตจึงไม่ได้วางอุบายอื่นๆ ไว้ในหุบเขา
แน่นอน นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าในหุบเขานี้ไม่มีของมีค่าอะไรเลย เทียบกับถ้ำวารีสวรรค์อันอู้ฟู่แล้ว หุบเขาที่ผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตฝึกบำเพ็ญโกโรโกโสมาก
มีเพียงบ้านเล็กๆ กลางหุบเขา นั่นคือตำแหน่งใจกลางค่ายกลรวมวิญญาณ สามารถดูดพลังวิญญาณได้มากที่สุด
เสิ่นเทียนไม่ได้เดินไปทางบ้านเล็กนั้น แต่มุ่งหน้าไปยังหน้าผาข้างๆ มือขวายื่นเถากลืนกินเซียนออกมาก่อนจะแทงเข้าไปกลางผนังเหมือนกับแส้ยาวสีเขียวมรกต แล้วกวนไปมาอย่างบ้าคลั่ง
ไม่นาน เสิ่นเทียนก็ขูดออกเป็นร่องลึก แสงสีแดงขยับประกายออกมา
นั่นคือหน้าหนังสือสีแดงหน้าหนึ่ง เหมือนกับหน้าหนังสือคัมภีร์เทพโลหิตที่เสิ่นเทียนได้มาจากผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตทุกประการ
เสิ่นเทียนหยิบคัมภีร์เทพโลหิตแผ่นนี้ใส่มือ ก่อนจะอดใจโล่งอกมิได้
จากนั้นก็ขี่ปืนบินไปหลายร้อยลี้จนเกือบหาทิศเหนือไม่พบแล้ว ในที่สุดก็หยุดบนเขาลูกหนึ่ง
เขาใช้เถากลืนกินเซียนมุดดินไปขุดถ้ำแบบปิดตายแห่งหนึ่งลึกไปเกือบลี้ อย่าถามว่าไม่มีอากาศหายใจทำอย่างไร ผู้ฝึกบำเพ็ญเซียนดูดซับพลังวิญญาณได้!
รอบๆ ถ้ำแบบปิดตายวางค่ายกลเก็บกลิ่นอายพลังไว้ ตัวเสิ่นเทียนยังสวมหน้ากากขนหงส์ จนเมื่อมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว เขาถึงหยิบคัมภีร์เทพโลหิตสองหน้าออกมาจากอกเสื้อ
กระดาษสีโลหิตสองหน้านี้วางตรงหน้าเสิ่นเทียน ดูเหมือนเบามาก แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น กระดาษสองแผ่นนี้หนักหลายร้อยชั่ง
อีกทั้งคุณภาพยังเหนือชั้นยิ่ง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางต้านการโจมตีสุดกำลังของป้ายคำสั่งเจ้ากระบี่ไหวแน่นอน
เสิ่นเทียนรู้สึกว่าถ้าตนแนบกระดาษสองแผ่นนี้ที่หน้าอก ก็จะใช้เป็นกระจกกันหัวใจได้
……
เสิ่นเทียนโคจรวิชาก่อนจะบีบโลหิตบริสุทธิ์มาจากนิ้วชี้มือขวาสองหยด
โลหิตบริสุทธิ์สองหยดแบ่งกันหยดบนกระดาษสีแดงสองแผ่น ก่อนจะโดนกระดาษสีแดงดูดเข้าไปทันที
ทันใดนั้นเสิ่นเทียนรู้สึกว่าฟ้าดินหมุน ภาพตรงหน้ากลายเป็นทะเลโลหิตไร้พรมแดน ตรงกลางทะเลโลหิตนั้นเขาเหมือนเห็นสิ่งมีชีวิตมากมายกำลังลอยอยู่
ขณะเดียวกันมนตร์วิชาอันลี้ลับและคลุมเครือได้หลั่งไหลเข้ามาในความคิดและประทับตราลงในความทรงจำลึกๆ
นั่นคืองวิชาลับสองแขนง แบ่งจากคัมภีร์เทพโลหิตสองหน้า
คัมภีร์เทพโลหิตหน้าแรกบันทึกยอดวิชากำเนิดโลหิตบริสุทธิ์ มีชื่อย่อว่าวิชาก่อโลหิต
เมื่อใช้วิชาลับนี้จะใช้โลหิตบริสุทธิ์ของตัวเองสร้างร่างที่สอดคล้องกับตนอย่างสมบูรณ์แบบได้ กลิ่นอายพลังและต้นกำเนิดทุกอย่างของร่างกายนี้จะเหมือนกับตัวเองทุกประการ เพียงแค่ไม่มีจิตสำนึก
และระดับพลังจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้สำแดงวิชาใช้โลหิตบริสุทธิ์เท่าไร ยิ่งใช้โลหิตบริสุทธิ์มากก็ยิ่งมีพลังบำเพ็ญแกร่งมากเท่านั้น
อย่างมากสุด กระทั่งถึงเจ็ดส่วนของผู้สำแดงวิชา!
แน่นอนว่าหากทำใจเสียโลหิตบริสุทธิ์ไม่ได้ก็ต้องรวมเป็นร่างแยกที่ค่อนข้างอ่อนแอก่อน จากนั้นใช้โลหิตคนอื่นมาหล่อหลอมร่างแยกนี้ ทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ข้อเสียคือร่างแยกที่ดูดโลหิตบริสุทธิ์ของคนอื่นเติบโตจะไม่สอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ อย่างมากสุดก็มีกำลังรบราวๆ สามส่วนของผู้สำแดงวิชา
ผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตรวมร่างแยกเสวี่ยเหวินเค่อออกมาก็คิดจะให้ร่างแยกเซ่นไหว้โลหิตเมืองภูเขาดำเพื่อยกระดับขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้นโลหิตบริสุทธิ์ของเขาคงไม่พอใช้จริงๆ!
ส่วนหน้าที่สองของคัมภีร์เทพโลหิตบันทึกยอดวิชาแยกดวงจิต ชื่อย่อวิชาแยกจิต
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน