บทที่ 219 ใช้ความโอหังรับมือกับความโอหัง!
บึ้ม~!
มารโลหิตตัวสุดท้ายถูกเถากลืนกินเซียนทะลวง
เมื่อไข่มุกแก่นโลหิตถูกนำออกมา กายหยาบมารโลหิตก็ระเบิดกลายเป็นฝนโลหิตเต็มฟ้า
ขนนกเพลิงรอบตัวเสิ่นเทียนค่อยๆ หายไป สายฟ้าก็หุบเข้ามาหายไปเช่นกัน ก่อนตัวเขาจะลงสู่พื้นช้าๆ
เพียงชั่วครู่สั้นๆ มารโลหิตสี่ตัวในหุบเขาตายตกด้วยเถาวัลย์ของเสิ่นเทียน หุบเขามารโลหิตกว้างใหญ่เงียบสงัด ทุกคนเหม่อมองเสิ่นเทียน
ชุดคลุมขาวของเขาไม่เคยเปื้อนโลหิตสักนิด แหวนเวหาขยับแสงวาววับ หยิบขวดหยกสีขาวออกมา
“นี่คือของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพาน มาจากเถากลืนกินเซียนระดับฝ่าด่านเคราะห์บรรลุนิพพาน สามารถรักษาอาการบาดเจ็บแห่งมหามรรค ฟื้นฟูต้นกำเนิดพลังชีวิตได้”
เสิ่นเทียนโยนขวดหยกสีขาวให้จินอวี่ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ในนี้มีสิบชั่ง พอจะรักษาบาดแผลเจ้า”
จินอวี่รับของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานมาก็มีสีหน้าซับซ้อนมาก เหตุใดเจ้านี่ถึงใจดีเช่นนี้
เมื่อเห็นใบหน้าจินอวี่เต็มไปด้วยความสงสัย เสิ่นเทียนก็เอ่ยอย่างจำใจ “ถ้าเจ้าตาย ข้าจะไปทวงหนี้กับใคร”
จินอวี่พูดไม่ออก
เสิ่นเทียนเอ่ยต่อ “แล้วก็ ดาบนักรบทองคำนั่นเจ้าทำมันพังแล้ว เกราะนักรบทองคำก็เสียหาย เจ้าต้องชดใช้เจ้าพวกนี้ด้วย”
จินอวี่งุนงง
จากนั้นเสิ่นเทียนโยนแหวนวงหนึ่งให้จินอวี่ “นี่แหวนของเจ้า ไม่ต้องแปลงเป็นสองล้านศิลาวิญญาณแล้ว เจ้าชดใช้ให้ข้าห้าสิบสองล้านเต็มๆ แล้วกัน!”
เมื่อเอ่ยจบ เสิ่นเทียนก็พูดต่ออีก “ไม่ต้องรีบใช้คืน รวมได้ครบเมื่อไรค่อยคืนก็ได้ แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วย”
จินอวี่เหม่อมองเสิ่นเทียนที่หมุนตัวจากไป เจ้านกนิ่งอึ้งไป นี่มันอะไรกัน
คืนดาบนักรบทองคำกับเกราะนักรบให้ข้า รวมกับแหวนแปลงเป็นเงินได้สองล้านศิลาวิญญาณหรือ
ลำพังแค่ดาบนักรบทองคำนี้ หลังจากร้าวแล้วมันก็ไม่ได้มีราคาแค่นี้อยู่ดี!
มิหนำซ้ำยังมีเกราะนักรบทองคำ นั่นคืออาวุธวิญญาณระดับสูงสุด สองล้านศิลาวิญญาณซื้อได้กับผีสิ!
รอเดี๋ยว จินอวี่มองร่างเงาเสิ่นเทียนที่ยืดยาวขึ้นไป เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
‘เจ้านี่กำลังให้ทางลงกับข้าหรือ นี่คือจะปรองดองกันหรือ’
จินอวี่มองของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานในมือด้วยรอยยิ้มลำพองใจ ‘ถือว่าเจ้ารู้จักเอาตัวรอด!’
ช่างเถอะ เห็นแก่ที่เจ้ายังรู้เรื่องรู้ราว ข้าจะไว้หน้าเจ้า ไม่เหยียบย่ำเจ้าในภายภาคหน้าแล้วกัน
จินอวี่เปิดฝาขวดหยกขาวก่อนกระดกของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานลงไปอึกใหญ่ๆ ฟื้นพลังปราณเดิมกลับมา
เมื่อจินอวี่กินของเหลวสีขาวเงินเข้าไป พลังต้นกำเนิดชีวิตมหาศาลก็หลอมละลายและหลั่งทะลักไปทั่วร่างเขา
กลิ่นอายพลังเขาฟื้นกลับมาสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว
จิตมุ่งมั่นในการต่อสู้จุดประกายแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง จิตใจเร่าร้อนฮึกเหิมขึ้นมา ก่อนมองเสิ่นเทียนพลางแค่นยิ้ม “เสิ่นเทียน เจ้าอาจจะดูถูกกันไปหน่อยแล้ว กับอีแค่ห้าสิบสองล้านศิลาวิญญาณ ข้าจินอวี่ไม่ถึงกับเบี้ยวหนี้ชักช้าไม่จ่ายหรอก! ภายในสามเดือน ข้าจะรวมศิลาวิญญาณให้ครบแล้วส่งไปให้เจ้าที่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์!
การต่อสู้ในสนามรบครั้งนี้ยังไม่ถึงอกถึงใจ ภายภาคหน้าหากมีโอกาส เมื่อไรที่เจ้ารวมแก่นพลังทองแล้วเราค่อยมาสู้กันอีก!”
เสิ่นเทียนหยุดชะงักแล้วหันหน้ากลับมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี รอข้ารวมแก่นพลังทองแล้วไปหาเผ่าเทพนกยูงเมื่อไร จะแวะไปหาเจ้าด้วย”
เหงื่อเย็นๆ หยดหนึ่งไหลลงมาจากหน้าผากจินอวี่ “แค่กๆ เช่นนั้น…เช่นนั้นเรามาตกลงกันก่อน ถึงตอนนั้นถ้าเจ้าแพ้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
“ตกลง ถ้าเจ้าแพ้ ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้าเช่นกัน!”
เสิ่นเทียนยกมุมปากเล็กน้อย เขามีไอคิวสูงมาก จะมองไม่ออกหรือว่าเจ้าจินอวี่คิดอะไรอยู่
พญาอินทรีผู้โอหังตัวนี้ก็แค่เป็ดตายปากแข็งไม่ใช่รึ!
ยังมารอข้ารวมแก่นพลังทองสำเร็จแล้วค่อยท้าสู้กับข้า กลัวก็แต่จะ ‘ติดต่อไม่ได้’ เลยนี่สิ!
แต่อย่างไรก็ได้ทั้งนั้น!
ความโอหังเช่นนี้ตบตาง่ายที่สุด ตั้งแต่หัวจรดเท้าแม้แต่ไส้ยังเป็นเส้นตรง ไม่มีแผนการร้ายอะไรทั้งนั้น
วิธีรับมือกับปีศาจโอหังที่ดีที่สุดคือโอหังยิ่งกว่าเขา!
ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสเปลี่ยนเจ้านี่เป็นผักกุยช่ายไว้เก็บเกี่ยวประจำ เสิ่นเทียนก็ไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ!
ถึงอย่างไรการฆ่านกเอาไข่ก็หรือป้อนหญ้ารีดนม ก็เป็นทางเลือกที่เสิ่นเทียนไม่ทำอยู่แล้ว
แหวนเวหาขยับแสงอีกครั้ง ปรากฏโลงศพขึ้นบนพื้น
“นี่คือกระดูกของบรรพบุรุษเผ่าพญาอินทรีปีกทองพวกเจ้า ได้ยินท่านหญิงเซียนข่งเมิ่งบอกว่าตายเพราะต้านมารร้ายต่างแดนในสงครามครั้งนั้น เขาคือวีรชนที่แท้จริง ไม่ควรให้ศพมาอยู่บนสนามรบ จินอวี่ เจ้าเอาเขากลับไปฝังในเผ่าพญาอินทรีปีกทองเถอะ!”
จินอวี่มองร่างในโลงศพพลางรู้สึกถึงกลิ่นอายพลังต้นกำเนิดเดียวกับตนแล้ว เขาก็เงียบไป
ผ่านไปนานเขาถึงมองแผ่นหลังเสิ่นเทียนพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “ข้าติดค้างน้ำใจเจ้าแล้ว!”
เสิ่นเทียนไม่ได้หยุดเดิน เพียงแค่มุมปากยกยิ้มไม่ใส่ใจนิดๆ
จากนี้ก็จะมีคน…เอ่อ นก ให้เกาะเพิ่มมาอีกตัว!
มีความสุข~
…….
เมื่อจัดการปัญหาของจินอวี่เสร็จ ต่อไปคือหกคนจากลัทธิวิญญาณร้าย
เขามองเฮยหยวน เฮยจิน เฮยมู่ เฮยสุ่ย เฮยหั่ว และเฮยถู่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยในชีวิต
เสิ่นเทียนทำหน้าเฝ้ารอคอย ก่อนจะถอดสมบัติลับชุดคลุมดำและหน้ากากพิเศษออกมาจากหกคน อุปกรณ์พวกนี้มีประสิทธิภาพด้านการอำพรางพลัง เป็นของหายากยิ่งในสมบัติวิเศษระดับเดียวกัน มีมูลค่าไม่ใช่น้อยๆ เลย
มิหนำซ้ำ แหวนเก็บของตรงมือของหกคนยังใส่ทรัพย์สินของพวกเขาเต็มไปหมด!
ดั่งคำกล่าวว่า ‘ค้นหนึ่งเมือง สู้ฆ่าล้างบางคนกลุ่มหนึ่งไม่ได้’ คำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย
เขานำสมบัติวิเศษทั้งหมดใส่เข้าไปในแหวนเวหา จากนั้นสวมแหวนเก็บของหกวงที่มือตามอำเภอใจ เดี๋ยวกลับไปค่อยไปจัดการ
เสิ่นเทียนมองเฮยหยวนนิ่งๆ “พวกเจ้าคือคนจากลัทธิวิญญาณร้ายล่ะสิ! ครั้งนี้แอบมาสนามรบบรรพกาล มีแผนการร้ายอะไร”
เฮยหยวนยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกกลัวตายรึ เหอะ ถ้าฆ่าข้า พวกเจ้าก็ต้องลงหลุมไปด้วยกัน!”
เสิ่นเทียนมองตรงหน้าผากเขา “เป็นเชลยแล้วยังปากเก่งอีก มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกฝ่ายที่นี่ มีใครยินดียกเลิกการฝึกและส่งหกคนนี้กลับไปสอบสวนก่อนบ้าง”
สมาชิกลัทธิวิญญาณร้ายเป็นๆ มีค่ากว่าตายแล้วมาก
เพราะถึงในลัทธิวิญญาณร้ายจะมีสาวกที่บ้าคลั่งมาก แต่ก็มีคนที่กลัวตายมากกว่า
สาวกลัทธิชั่วร้ายที่ถูกจับเป็นไปมีโอกาสสูงที่จะเป็นกุญแจสำคัญช่วยให้แดนศักดิ์สิทธิ์คลำหาสาวกลัทธิเจอมากขึ้นอย่างราบรื่น
ดังนั้นตอนที่เสิ่นเทียนจับหกคนนี้ได้ทำลายตันเถียนพวกเขาแล้ว ก็เพื่อกันไม่ให้หกคนนี้ระเบิดตัวเอง
ตอนนี้ต้องอาศัยโอกาสช่วงที่ข่าวหกคนนี้โดนจับยังไม่แพร่งพรายออกไปให้แดนศักดิ์สิทธิ์สอบสวนลัทธิชั่วร้าย
หากรอจนการฝึกฝนจบลงแล้วค่อยพาหกคนนี้ไปสอบสวนแล้วเหวี่ยงแหจับ ถึงตอนนั้นเกรงว่าลัทธิชั่วร้ายที่หกคนนี้รู้จักคงถอยหนีไปนานแล้ว
ศิษย์ทุกคนในหุบเขามองหน้ากัน ต่างมีสีหน้าลังเล
ถึงอย่างไรสำหรับศิษย์ธรรมดาแล้ว การฝึกซ้อมบนสนามรบบรรพกาลก็เป็นโอกาสที่หายาก แค่เจอสมุนไพรโบราณล้ำค่าต้นเดียวที่นี่ก็มากพอจะให้พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนไปได้หลายปีกระทั่งหลายสิบปี
ถึงอย่างไรต่อให้เป็นศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนฉินอวิ๋นตี๋กับเสิ่นเทียนกันทุกคน ศิษย์ส่วนใหญ่มีทรัพยากรฝึกฝนขัดสน ยิ่งมีพรสวรรค์ก็ยิ่งยากจน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน