บทที่ 222 เจ้ารู้จักนกโง่นี่รึ
เจ้าเดาหรือ
เจ้าเดาสิว่าข้าจะเดาหรือไม่เดา!
เสิ่นเทียนมองชายชราชุดคลุมม่วงอย่างหมดคำจะพูด
เจ้านี่ไปเรียนวิชาการสร้างสถานการณ์มาจากที่ใด ไม่รู้ว่าพวกนักเขียนที่ชอบทิ้งปมให้ลงแดงพวกนั้นต้องโดนจดหมายข่มขู่หรือ
และยังจะให้ข้าเดาอีก
ในปอดข้าซ่อนกระบี่ฟ้าสังหารเมื่อหมื่นปีก่อนไว้ เชื่อหรือไม่ว่ากระบี่เดียวก็ทำให้เจ้าเป็นบาดทะยักได้
เสิ่นเทียนจนปัญญาอยู่ในใจ แต่ปากก็ยังพูดด้วยความเคารพ “ผู้อาวุโสมีเอกลักษณ์ไม่ธรรมดา ต้องบรรลุมรรคเป็นเซียนแท้จริงอย่างแน่นอน แซ่เสิ่นเดาความคิดผู้อาวุโสไม่ออกจริงๆ คงไม่ใช่เพราะแซ่เสิ่นหน้าตาหล่อเหลาเหมือนผู้อาวุโสตอนยังหนุ่มหรอกกระมัง!”
ชายชราชุดคลุมม่วงพยักหน้าตามเหตุผล “ไม่ผิด! หรือว่าเหตุผลนี้ยังไม่พอกัน”
เสิ่นเทียนงุนงง
ไม่ใช่กระมัง ผู้อาวุโส!
พวกเจ้าข้างบนมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้กันหมดหรือ
แค่เพราะข้าหน้าตาหล่อเหลา เจ้าเลยยกข้ามาพบเจ้าที่ชั้นบนสุดรึ
ผู้อาวุโส เจ้าตั้งกฎลับเช่นนี้มันดีจริงๆ หรือ
เมื่อเห็นเสิ่นเทียนทำหน้าแปลกๆ ชายชราชุดคลุมม่วงก็อดยิ้มมิได้ “ไม่ขำเลยสักนิด มิน่าถึงยังมีกายเป็นเด็ก”
เสิ่นเทียนงุนงง
ตาแก่บ้า จะคุยก็คุยไป แต่พูดเรื่องร่างกายอันนี้มันเกินไปแล้ว!
มีกายเป็นเด็กแล้วมันอย่างไร ข้าเพิ่งสิบหก ยังไม่เป็นหนุ่มมันก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่รึ อีกทั้งจะขำหรือไม่ขำมันเกี่ยวอะไรกับมีกายเป็นเด็ก เจ้าอย่าแอบเปลี่ยนแนวความคิดได้หรือไม่
เสิ่นเทียนเอ่ยอย่างจำใจ “ผู้อาวุโส ท่านเป็นใครกันแน่”
ชายชราชุดคลุมม่วงยิ้มน้อยๆ ก่อนรินชาเองดื่มเองต่อ
เขาเอ่ยนิ่งๆ ว่า “ข้าเยี่ยฉิงชาง บุรุษรูปงามหมายเลขหนึ่งของโลกเซียนในตอนนั้น เพราะข้าหน้าตาหล่อเหลาเกินไป ทั้งยังมีพรสวรรค์ไร้พ่าย จึงถูกคนเป็นหมื่นในโลกเซียนตามประจบ หญิงเซียนมากมายในโลกเซียนชื่นชอบข้ามาก ถึงขนาดทำให้ศัตรูแข็งแกร่งมากมายริษยาและร่วมมือกันสังหารข้า
ด้วยความจนปัญญา ข้าเลยได้แต่ระเบิดกายเทพตัวเองสังหารศัตรูไปมากกว่าครึ่ง จากนั้นก็พาหอคอยเทพสงครามลงมายังโลกมนุษย์”
เยี่ยฉิงชางถอนหายใจอย่างจำใจ “ความยิ่งใหญ่ในอดีตไม่อาจหวนคืน ธารน้ำยาวแห่งกาลเวลาไกลลิบ ไร้กระแสลมอีก”
เสิ่นเทียนมองชายชราชุดคลุมม่วงดื่มชาอย่างจริงจัง ยิ้มจนรอยย่นบนใบหน้าเหมือนกับหนังเกี๊ยวแล้วก็อดเอามือตบหน้าผากไม่ได้
วางมาดเซียนพูดจาไร้ยางอายเช่นนี้ นี่คือมาดของยอดฝีมือที่สุดแห่งยุคหรือ
เขารู้สึกว่าผู้แข็งแกร่งที่ตนเคยเจอมา นอกจากอาจารย์แล้วเหมือนจะไม่ค่อยมีใครปกติกันสักคน
เสิ่นเทียนพูดด้วยความจนปัญญา “ผู้อาวุโสรับผู้เยาว์เข้ามาบนยอดหอคอย มีอะไรจะกำชับหรือไม่”
เยี่ยฉิงชางมองเสิ่นเทียนด้วยรอยยิ้มมีเมตตา “เด็กโง่ หมื่นปีมานี้ข้าเห็นเพียงเจ้าที่เป็นบุรุษรูปงามเช่นนี้ อีกทั้งเจ้ายังฝึกฝนคัมภีร์คบเพลิง ซ้ำยังหลอมรวมสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินสี่ชนิด พรสวรรค์และดวงชะตาเรียกได้ว่าเป็นหนึ่ง
หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคืออัจฉริยะผู้บำเพ็ญเซียนที่ข้ารอคอยมาหมื่นปี มีคุณลักษณะที่จะปกครองโลกเซียนได้! ว่าอย่างไร ชอบหอคอยเทพสงครามหรือไม่ ขอแค่เจ้าเอ่ยปาก หอคอยนี่จะเป็นของเจ้า!”
เสิ่นเทียนมึนงง
เสิ่นเทียน “ไม่ใช่ว่าทุกชั้นของหอคอยจะมีร่างเงาโอรสสวรรค์ที่แข็งแกร่งหรือ มีแค่เอาชนะโอรสสวรรค์ทุกคนถึงจะได้รับการยอมรับจากหอคอยเทพสงคราม จากนั้นก็ได้เป็นเจ้าของหอคอยเทพสงครามไม่ใช่รึ”
เยี่ยฉิงชางพยักหน้าตามเหตุผล “ใช่แล้ว!
หอคอยเทพสงครามมีทั้งหมดเจ็ดชั้น เป็นตัวแทนของอัจฉริยะเจ็ดระดับ หากเอาชนะโอรสสวรรค์ระดับเดียวกันเจ็ดชั้นได้ ก็เท่ากับเป็นสุดยอดโอรสสวรรค์ในโลกเซียน โอรสสวรรค์เช่นนี้ย่อมมีสิทธิ์ได้รับการยอมรับจากข้า และได้สืบทอดมรดกไร้พ่ายของข้า”
เสิ่นเทียนพูด “แต่ข้ายังไม่ได้เริ่มการทดสอบเลย!”
เยี่ยฉิงชางแบมือสบายๆ “ไม่ต้องสนใจ นั่นคือการทดสอบของคนอื่น
เจ้าเป็นใคร เจ้าคือคนเดียวที่มีใบหน้าเทียบเคียงกับข้าได้ในตลอดหมื่นปีมานี้ บางทีอาจจะมีสายเลือดชนรุ่นหลังของข้า! หอคอยเทพสงครามเป็นของข้า ข้าให้เจ้ารับสืบทอด เช่นนั้นเจ้าก็รับสืบทอดได้
ต่อให้เจ้าสู้ขึ้นมาจากชั้นหนึ่งจริงๆ ร่างเงาโอรสสวรรค์พวกนั้นก็ไม่กล้าต่อสู้กับเจ้าอย่างจริงจัง ในเมื่อเป็นเพียงขั้นตอน สู้ไม่ต้องเสียเวลา ตัดสินให้เจ้าไปเลยดีกว่า! ถ้าไม่เช่นนั้น ห้าดินแดนโลกข้างล่างจะมีคนธรรมดาเอาชนะโอรสสวรรค์เจ็ดดาวได้หรือ”
เมื่อเห็นท่าทีเป็นไปตามเหตุผลของเยี่ยฉิงชางแล้ว เสิ่นเทียนยอมแล้ว
เจ้าพวกนี้พูดเรื่อง ‘ภายใน’ อย่างเป็นเหตุเป็นผลเช่นนี้ได้อย่างไร อีกทั้งยังพยายามบอกว่า ‘ข้าอาจจะมีสายเลือดชนรุ่นหลังของเจ้า’!
นี่ไม่ใช่ว่าเจ้าเปลี่ยนวิธีจะเอาเปรียบข้ารึไง!
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้เจ้านี่เหมือนจะเตรียมมอบผลประโยชน์ เสิ่นเทียนจะต้องวาดวงกลมสาปแช่งตาแก่นี่ในใจแน่นอน
……
เสิ่นเทียนถอนหายใจ “ในเมื่อพวกเขาไม่มีทางเอาชนะโอรสสวรรค์เจ็ดดาวทั้งเจ็ดชั้นได้ ไฉนผู้อาวุโสต้องให้พวกเขามาทดสอบด้วยล่ะ”
เยี่ยฉิงชางยิ้มลึกลับ “เจ้าเด็กโง่ เสียดายหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ของเจ้า แน่นอนว่าก็ต้องเพื่อชื่อเสียง! ไม่มีใครทดสอบแล้วได้ผลประโยชน์ ใครจะป่าวประกาศข่าวให้เจ้ากัน ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะทำให้สายเลือดเรายิ่งใหญ่ขึ้นได้อย่างไร จะหาผู้สืบทอดที่แท้จริงเช่นเจ้าเจอได้อย่างไร”
ก็เพื่อป่าวประกาศหรือ
ใช่ อินทรีใหญ่นี่ก็คือจินอวี่
ตอนนี้สองปีกข้างหลังเขาอ่อนแสงลง หมอบอยู่หน้าหอคอยเทพสงครามอย่างห่อเหี่ยว
เขาอ้าปากขึ้นพูด “ข้าพูดมาหลายพันรอบแล้วว่าข้าคือผู้ติดตามของเจ้าเสิ่นเทียนนั่น เจ้าหอคอยบ้าฟังไม่เข้าใจรึ! ข้าเลื่อมใสเสิ่นเทียนประหนึ่งแม่น้ำไหลเชี่ยวยาวไม่ขาดสาย ทั้งยังเหมือนแม่น้ำเหลืองเอ่อล้นไม่อาจรับไว้ได้ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสงสัยความจริงใจของข้า!
รีบปล่อยข้าเข้าไป ข้า…ฟู่ว ให้ข้าหายใจหน่อย ข้าจะร่วมรบข้างเสิ่นเทียน เจ้าฟังไม่เข้าใจรึ!”
ซี้ด~!
เสิ่นเทียนตื่นตกใจ
จินอวี่หนอจินอวี่ ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเป็นนกเช่นนี้
ตอนอยู่ต่อหน้าข้ายังทำมาเป็นนกโอหัง ตอนนี้ลับหลังข้า กลับพูดจาไร้ยางอายเช่นนี้ นี่คือศักดิ์ศรีของเผ่าพญาอินทรีปีกทองของเจ้ารึ!
เสิ่นเทียนถาม “ผู้อาวุโส ทุกคนเข้ามาได้หมด เหตุใดถึงขวางแค่มันล่ะ”
เยี่ยฉิงชางทำเสียงขึ้นจมูกพลางลูบเครา “เดิมทีแค่หาหอคอยนี่พบก็ถือว่าเป็นผู้มีวาสนากับหอคอยเทพข้าแล้ว แต่เจ้านกโง่นี่เรียกหอคอยว่า ‘หอคอยบ้า’ ‘หอคอยห่วยแตก’ ตลอด ไร้มารยาทและไม่เจียมตัว แบบนี้จะได้อย่างไรกัน!
หากเป็นข้าตอนยังหนุ่ม คงเอาไม้แทงจากก้นทะลุถึงปากมันแล้วเอามาย่างกินแล้ว!
เทียนเอ๋อร์ เจ้าบอกมาให้ชัดว่านกโง่นี่เป็นผู้ติดตามของเจ้าหรือไม่ หากไม่ใช่ ข้าจะสังหารมันเดี๋ยวนี้ จะได้เงียบสักที”
เสิ่นเทียนพูดไม่ออก
เขาถอนหายใจก่อนจะตอบกลับ “ผู้อาวุโส จินอวี่เป็นสหายของข้า ทั้งยังติดหนี้ข้าก้อนใหญ่”
เยี่ยฉิงชางครุ่นคิด “อ้อ ถ้าเป็นสหายก็ช่างเถอะ ที่สำคัญคือติดหนี้ก้อนใหญ่ เช่นนั้นก็ฆ่าไม่ได้จริงๆ ช่างเถอะ!”
เยี่ยฉิงชางขบคิดก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ “เห็นแก่ที่ดาบนักรบกับเกราะนักรบของเจ้านกโง่นี่ใช้ได้ จะให้โอกาสเขาฝึกฝนแล้วกัน!”
เมื่อแสงสีม่วงลอยเข้าไปในกระจกปราการลับนั้น ประตูใหญ่ของหอคอยเทพสงครามก็เปิดออกช้าๆ
ปึง~
จินอวี่กลางแสงเซียนหลากสีซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลพราก
“ข้า…ข้าได้เข้าไปฝึกฝนสักที! เก้าวัน เก้าวันเก้าคืนเต็มๆ!
ข้าจะถูกล้างสมองอยู่แล้ว!”
………………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน