บทที่ 245 วิชาลับตำหนักเทพสงคราม เปลี่ยนเทพสงคราม
เมื่อได้ยินหลี่เหลียนเอ๋อร์บอกว่าจะไปแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ผู้สูงศักดิ์จื่อหยางก็ตกใจรีบพาศิษย์แดนเทวาดาวประกายพรึกกลับ
ไม่ว่าอย่างไรก็พาแม่นางมันหวานร้อนมือนี่กลับไปก่อนค่อยว่ากัน
ถึงอย่างไรเมื่อกลับถึงแดนเทวา ตนจะหาข้ออ้างออกไปทำภารกิจทันที ออกห่างไปให้ไกล
ถ้ายัยหนูนี่หนีออกจากบ้านสำเร็จจริงๆ จะโทษอย่างไรก็มาไม่ถึงตัวเขาแล้ว!
ศิษย์แดนเทวาดาวประกายพรึกกลับแล้ว ผู้อาวุโสและศิษย์ฝ่ายเซียนอื่นๆ ก็ทยอยกันกลับ การฝึกครั้งนี้ถือว่าสิ้นสุดลง
“พี่เสิ่นเทียน ข้าจะหมั่นฝึกฝนเพื่อมีคุณสมบัติมายืนข้างกายพี่ให้เร็วที่สุด!”
เซียวหลิงสวมอาภรณ์สีเขียว ทุกย่างก้าวจะเกิดดอกบัว ทำให้ศิษย์ฝ่ายเซียนมากมายเคลิบเคลิ้ม ทว่าสายตานางกลับหยุดที่เสิ่นเทียนตลอด
ตอนนี้ในความคิดเซียวหลิงนึกถึงคำพูดของผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่อีกครั้ง
ภายภาคหน้าโอรสสวรรค์เยี่ยงศิษย์พี่ฉู่เหอกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เสิ่นเทียนจะต้องเหาะขึ้นเป็นเซียนอย่างแน่นอน หากไม่มีพรสวรรค์พอจะเป็นเซียนก็ไม่คู่ควรกับพวกเขา สายสัมพันธ์คู่ชีวิตเช่นนี้สร้างแต่ความเศร้าประหนึ่งหยินหยางแยกจากกันชั่วนิรันดร์
คำพูดนี้เล่าลือว่าเป็นคำกล่าวตอนที่ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตฉู่หรงเหอใช้ชื่อปลอมว่าฉู่เหอพูดกับผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่
ส่วนคำพูดเดิมเป็นอย่างไร ผ่านการเติมแต่งมาเองหรือไม่…
ไม่มีใครรู้มานานแล้ว
เซียวหลิงก็ตามผู้อาวุโสและศิษย์จากแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกกลับไปเช่นกัน คนในเมืองเล็กเซียนมีน้อยลงเรื่อยๆ
“ทุกคนไปขึ้นเรือเหาะเทพสวรรค์ เราก็จะกลับกันแล้ว”
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวยิ้มอ่อนๆ พลางกำกับศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ขึ้นเรือเหาะอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
เมื่อเรือเหาะลอยขึ้นอีกครั้ง บนดาดฟ้าเรือเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน
“สนามรบบรรพกาลเร้าใจจริงๆ มีแต่สัตว์ประหลาดวิญญาณมรณะแกร่งๆ เต็มไปหมด แกร่งกว่าสัตว์อสูรปกติอีก”
“เถอะน่า! ถึงวิญญาณมรณะพวกนี้จะแข็งแกร่ง แต่สติปัญญาสู้สัตว์อสูรไม่ได้เลย ขอแค่ร่วมมือรู้ใจกัน ศิษย์พี่ศิษย์น้องสามถึงห้าคนร่วมมือกันก็สังหารสัตว์ประหลาดวิญญาณมรณะระดับแก่นพลังทองได้แล้ว”
“การฝึกครั้งนี้เราได้ของกันมาเยอะเลย พอจะฝึกฝนสิบกว่าปี หวังว่าการฝึกฝนครั้งหน้าจะมาเร็วๆ หน่อย”
“พูดเหมือนสบาย สัตว์ประหลาดในสนามรบมีไม่น้อย หากไม่ระวังได้ถูกปิดล้อมตายกันหมดแน่”
“ไม่ผิด เราบาดเจ็บในสนามรบ ถ้าไม่ได้ของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานที่ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้มา ครั้งนี้กลุ่มเล็กเราอาจจะไม่ได้ออกมาแล้ว”
“ใช่เลยๆ ของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานที่ศิษย์พี่ให้มามีฤทธิ์ยาสะเทือนฟ้า ถ้าไม่เช่นนั้นข้าก็อาจจะไม่ไหวเหมือนกัน!”
……………
ศิษย์เทพสวรรค์คนหนึ่งท่ามกลางกลุ่มคนคุยโวโอ้อวดขึ้น “ข้าจางซานมีเรื่องต้องพูด การฝึกในสนามรบบรรพกาลครั้งนี้ พวกเราเจอศิษย์สาวกลัทธิวิญญาณร้ายในหุบเขามารโลหิต มันอันตรายมากจริงๆ!
ศิษย์สาวกลัทธิชั่วร้ายสมควรตายพวกนั้นไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไร หามารโลหิตระดับดวงจิตดรุณบนสนามรบมาได้ แซ่จางพาพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องสู้กับมารโลหิตนั้นสามร้อยกระบวนท่า ก็ยังสู้ไม่ไหว โดนมารโลหิตจับตัวไปต้องตกอยู่ในอันตราย
หากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่เดินทางไกลมาพันลี้บุกหุบเขามารโลหิตด้วยความไม่หวั่นเกรง สังหารมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณห้าตัวได้ด้วยตัวคนเดียว เกรงว่าพวกเราคงรอดยาก
สรุปคือ นับจากนี้ไปชีวิตนี้ของแซ่จางเป็นของศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้แซ่จางไปตะวันออก แซ่จางจะไม่ไปตะวันตกเด็ดขาด ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้แซ่จางตีสุนัข แซ่จางจะไม่จับนกเด็ดขาด!”
ใช้พลังบำเพ็ญระดับสร้างฐานสังหารมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณได้ด้วยตัวคนเดียวรึ
แม้ศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะรู้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของตนเก่งกาจ แต่คะแนนในสนามรบก็ฟังดูน่ากลัวเกินไปจริงๆ
“จริงรึ สนามรบบรรพกาลไม่ได้จำกัดพลังไว้ระดับสร้างฐานรึ เหตุใดศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ถึงสังหารระดับดวงจิตดรุณได้ห้าตนด้วยตัวคนเดียว”
มีคนสงสัย แต่ไม่นานก็ถูกเสียงสนทนากลบไป
“เจ้านี่จริงๆ เลย ยังไม่เชื่ออีก ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นคนระดับใด เทียบกับคนธรรมดาได้รึ”
“ใช่ บางทีแม้แต่กฎฟ้าดินก็อาจจะยังยอมให้กับเอกลักษณ์ของศิษย์พี่ อาจจะไม่ได้จำกัดศักยภาพของศิษย์พี่ไว้ก็ได้!”
“ตอนนั้นข้าอยู่ด้วย ข้าเป็นพยานได้ว่าตอนนั้นศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีกำลังรบที่ระดับสร้างฐานจะมีได้เลย พลังนั่นยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า ปีกเทพสีทองคู่นั้นเร็วจนคนมองไม่ทัน ฆ่ามารโลหิตเหมือนกับเชือดสุนัข”
“ใช่ๆ พวกเจ้าไม่รู้หรอก! บุตรศักดิ์สิทธิ์ซ่อนแส้เทพที่ทั้งหนาและแข็งเอาไว้ในตัว สามารถยืดได้หดได้ ยาวได้สั้นได้ ทะลวงการป้องกันได้ทุกอย่าง
ถึงมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณพวกนั้นจะแข็งแกร่ง แต่ไข่มุกแก่นโลหิตตรงหน้าอกก็เป็นจุดยุทธศาสตร์ของพวกมัน จึงใช้เกราะโลหิตป้องกัน
แต่แส้เทพของบุตรศักดิ์สิทธิ์ยืดหดได้ตามใจ โค้งงอได้ตามใจ อ้อมเกราะโลหิตนั้นทะลวงหัวใจมารโลหิตแล้วก็เอาไข่มุกมารโลหิตออกมา นี่ก็เลยเอาชนะห้าตัวได้ด้วยตัวคนเดียวราวกับเทพสวรรค์ลงมาเยือน เรียกได้ว่าทั้งน่าตกใจและงดงาม!”
“ตอนนั้นข้าก็อยู่ด้วยนะ ยืนยันได้ว่าศิษย์พี่หมิงไม่ได้พูดเกินจริงไปเลยสักนิด บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คน แต่เป็นเทพ!”
……..
พอได้ฟังคำสนทนาของพวกจางซาน พวกซ่งฟู้กุ้ยและหลิวไท่อี่ยังแอบตกใจกัน
ท่านปรมาจารย์สวรรค์สมกับเป็นท่านปรมาจารย์สวรรค์จริงๆ
ในการฝึกฝนหนึ่งเดือนสั้นๆ ก็ดึงดูดผู้คลั่งไคล้มานับไม่ถ้วน
ศิษย์พวกนี้จากแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่เท่าไร แต่ยังมีศิษย์ฝ่ายอื่นที่ถูกมารโลหิตจับตัวไปด้วย!
หากคนพวกนี้กลับสำนักก็คงจะกลายเป็นผู้เลื่อมใสของเสิ่นเทียน มีผลดีต่อการประกาศชื่อเสียงของท่านปรมาจารย์สวรรค์
พวกซ่งฟู้กุ้ยและหลิวไท่อี่กำลังคิดว่าควรจะติดต่อหลี่อวิ๋นเฟิงเรื่อง ‘มหาสงครามหุบเขามารโลหิต’ ดีหรือไม่ จากนั้นค่อยป่าวประกาศออกไป
ถึงอย่างไรก็มีส่วนช่วยในการสร้างภาพลักษณ์อันโชติช่วงของเสิ่นเทียนอย่างมาก
ทุกคนบนดาดฟ้าเรือกำลังคุยกันเรื่องเสิ่นเทียน แต่ตัวเสิ่นเทียนเองตอนนี้กำลังฝึกบำเพ็ญในห้องอย่างจริงจัง
เขากำลังฝึกฝนคัมภีร์เทพสงครามคบเพลิงที่เยี่ยฉิงชางถ่ายทอดให้ นี่เป็นมรดกฉบับปรับปรุงที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคัมภีร์คบเพลิง
คัมภีร์คบเพลิงที่เสิ่นเทียนใช้เงินห้าตำลึงเงินซื้อมาเป็นเพียงบทพื้นฐานคัมภีร์คบเพลิงที่แพร่หลายในห้าดินแดนเท่านั้น อย่างมากสุดก็ฝึกได้ถึงระดับกายทอง
เมื่อถึงระดับกายทองแล้ว จะไม่มีบทเกี่ยวกับการหลอมกายทองเทพมารเก้ารอบเลย
แต่คัมภีร์เทพสงครามคบเพลิงเป็นมรดกของตำหนักเทพสงครามจากโลกเบื้องบน ทำให้เสิ่นเทียนฝึกถึงฝ่าด่านเคราะห์เป็นเทพได้
ไม่ใช่แค่นั้น ในคัมภีร์เทพสงครามคบเพลิงยังบันทึกทักษะโบราณที่มีอานุภาพแข็งแกร่งไว้อีกมากมาย สามารถแสดงกำลังรบทางกายได้ถึงจุดสูงสุด
ซึ่งเยี่ยฉิงชางไม่ได้เก็บวิธีการฝึกฝนของทักษะยุทธ์โบราณพวกนี้ไว้เอง แต่แทบจะถ่ายทอดให้เสิ่นเทียนทั้งหมด
ในนั้นมีมรดกสองวิชาที่เหมาะกับเสิ่นเทียนที่สุด แทบจะสร้างมาเพื่อเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน