เสิ่นเทียนกล่าว “ใช่แล้ว เหตุใดลุงกุ้ยท่านยังไม่พักผ่อนอีก”
กุ้ยกงกงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “บ่าวนั่งสมาธิปรับเลือดลมก็เป็นการพักผ่อนแล้ว เช่นนี้ยังสามารถคุ้มกันองค์ชาย เผื่อมีคนมารบกวนด้วย”
เสิ่นเทียนครุ่นคิด “ลุงกุ้ย ศิลาวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อนเหล่านั้น ท่านกับฉินเกาเอาไปฝึกฝนคนละหนึ่งพันก้อนก็แล้วกัน!”
กุ้ยกงกงรีบกล่าว “เช่นนี้จะได้อย่างไร…”
ต้องบอกก่อน ศิลาวิญญาณหนึ่งพันก้อนถือเป็นจำนวนเงินที่มากโข!
เพียงพอที่จะให้คนธรรมดาฝึกบำเพ็ญถึงระดับสร้างฐานแล้ว!
เสิ่นเทียนโบกมือปฏิเสธ “มีแต่พวกท่านแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นถึงจะสามารถคุ้มกันข้าได้ดียิ่งขึ้น เช่นนั้น ห้ามปฏิเสธ!”
เห็นสีหน้าที่จริงจังของเสิ่นเทียน กุ้ยกงกงพยักหน้าอย่างหมดหนทาง “พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”
กล่าวจบ เสิ่นเทียน มองเห็นแสงสีแดงที่อยู่เหนือศีรษะของกุ้ยกงกงเข้มขึ้นหลายส่วนอย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดว่าเขาเดาไม่ผิด กุ้ยกงกงร่วมแบ่งปันศิลาวิญญาณโชคลิขิตของผู้อื่น
ดังนั้น โชคของเขาจึงได้เพิ่มขึ้น
……
“อีกอย่างลุงกุ้ย เอาศิลาวิญญาณให้ข้าหนึ่งร้อยก้อน”
มุมปากของเสิ่นเทียนเผยอ ขึ้น “คืนนี้ข้าจะลองฝึก ‘คัมภีร์คบเพลิง’! ”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย บ่าวจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้”
กุ้ยกงกงเดินถือศิลาวิญญาณและตำลึงเงิน ไปเปิดห้องใหม่กับผู้ดูแลโรงเตี๊ยม
เสิ่นเทียนนั่งขัดสมาธิลงในถังไม้ที่เต็มไปด้วยยา ดวงใจทั้งห้าของเสิ่นเทียนชี้ไปยังฟากฟ้า นำศิลาวิญญาณวางลงตรงหน้า
เขาหวนนึกถึงความทรงจำขององค์ชายสิบสามคนเดิม เริ่มจริงจังขึ้นทีละนิด
ใช่แล้ว เสิ่นเทียนเตรียมตัวลองฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง!
แต่ว่าการลองครั้งนี้แตกต่างจากความพยายาม แปดสิบแปดครั้งขององค์ชายสิบสามที่ธาตุไฟเข้าแทรกก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
สิ่งที่เสิ่นเทียนเลือกครั้งนี้เป็นวิธีการบำเพ็ญที่แตกต่างจากศาสตร์หลอมปราณแก่นพลังทองไปโดยสิ้นเชิง
ศาสตร์หลอมรวมร่างเทพมาร!
……
อย่างที่ทุกคนรู้กันดี ในโลกบำเพ็ญเซียนมีวิธีฝึกบำเพ็ญหลายศาสตร์หลายแขนงแตกต่างกันออกไปมากมาย
ที่ได้ยินบ่อยที่สุดก็คือศาสตร์หลอมปราณแก่นพลังทอง
ศาสตร์ประเภทนี้เผาผลาญทรัพยากรน้อย ความเร็วในการฝึกค่อนข้างเร็ว และยังสามารถเรียนรู้ทักษะวิชาได้หลายแขนง
บรรพบุรุษผู้บุกเบิกรุ่นแล้วรุ่นเล่า ทำให้ศาสตร์บำเพ็ญเหล่านี้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
การฝึกปราณได้กลายเป็นทางเลือกหลักของผู้บำเพ็ญเซียน
แต่ศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดกลับไม่ใช่ศาสตร์หลอมปราณแก่นพลังทอง
แต่เป็นศาสตร์หลอมรวมเทพมารที่เผ่ามนุษย์คิดค้นขึ้นโดยเลียนแบบอสูรร้ายและเทพมารในยุคบรรพกาล
การฝึกบำเพ็ญของศาสตร์หลอมรวมเทพมารและหลอมปราณแก่นพลังทองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ฝึกปราณ เน้นการหลอมรวมพลังวิญญาณฟ้าดิน นำมาหล่อเลี้ยงไว้ในร่างกาย ก่อตัวขึ้นเป็นพลังวิญญาณ เปลี่ยนเป็นพลังทำลายล้างศัตรู
ส่วนฝึกกาย กลับหลอมรวมปราณฟ้าดินให้เป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายโดยตรง และใช้พละกำลังร่างกายที่แข็งแกร่งฆ่าศัตรู
จากทั้งสองศาสตร์นี้ ศาสตร์แรกเหมาะสมแก่การโจมตีระยะไกลด้วยวิชาอาคม ศาสตร์อย่างหลังเหมาะแก่การสู้ระยะประชิด
ตามหลักแล้ว ไม่มีความเหนือหรือความด้อยกว่าอย่างสมบูรณ์
เหตุผลที่ปัจจุบันหลอมปราณแก่นกำลังทองกลายเป็นกระแสหลัก ส่วนหลอมกายเทพมารค่อยๆ หายไปนั้นง่ายมาก
เพราะถ้าหากต้องการฝึกบำเพ็ญหลอมกายเทพมารมันผลาญเงินมากเกินไป
ในระดับเดียวกัน ทรัพยากรที่ผู้บำเพ็ญหลอมกายเทพมารใช้ มากกว่าหลอมปราณแก่นพลังทองถึงหลายสิบเท่า
เดิมทีในโลกบำเพ็ญเซียนก็ขาดแคลนเรื่องทรัพยากร ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญญาฝึกแม้กระทั่งขั้นฝึกปราณด้วยซ้ำ
การฝึกกายที่ต้องใช้ทรัพยากรมากยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
……
ร่างเดิมของเสิ่นเทียน เมื่อหลายปีก่อนก็เคยลองฝึกบำเพ็ญทักษะหลอมกายเทพมาร
มันเป็นชุดวิชาที่ชื่อ ‘ทักษะหลอมกายคบเพลิง’ เล่ากันว่าเป็นทักษะหลอมกายเทพมารที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกบำเพ็ญเซียน
เมืองบำเพ็ญเซียนใหญ่ๆ ล้วนแต่มีขาย ราคาอยู่ที่ห้าตำลึงเงินต่อหนึ่งเล่ม
ใช่แล้ว ไม่ใช่ศิลาวิญญาณห้าก้อน แต่เป็นห้าตำลึงเงิน
เมื่อเทียบกับการฝึกฝนวิชาอื่น ราคานี้ไม่ต่างอะไรกับการให้ฟรี
ทว่า ‘ทักษะหลอมกายคบเพลิง’ ที่ซื้อมาด้วยเงินห้าตำลึงเงิน กลับเป็นวิชาเดียวที่หลังจากองค์ชายสิบสามฝึกแล้วธาตุไฟไม่เข้าแทรก
เหตุผลง่ายมาก เพราะรูปแบบของการฝึกหลอมปราณแก่นพลังทองเป็นการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเข้าไปในจุดตันเถียน
เสิ่นเทียนขจัดความคิดฟุ้งซ่านในใจ วางศิลาวิญญาณลงบนฝ่ามือของตนเองทีละก้อน
เขาโคจรเคล็ดวิชายุทธ์ของ ‘คัมภีร์คบเพลิง’ เริ่มดูดซับพลังวิญญาณของศิลาวิญญาณ
ทันใดนั้น พลังวิญญาณที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าแผ่ซ่านออกมาจากศิลาวิญญาณ ซึมซับเข้าไปตามรูขุมขนบนร่างกายของเสิ่นเทียน
การหลอมรวมพลังวิญญาณของศาสตร์หลอมปราณแก่นพลังทอง ต้องผ่านการหลอมรวมก่อนหนึ่งรอบจนพลังวิญญาณอยู่ในระดับที่เหมาะสม
จึงจะสามารถดูดซับเข้าไปในจุดตันเถียนโดยตรง
แต่การดูดซับพลังวิญญาณจากศิลาวิญญาณโดยไม่ผ่านการหลอมรวม เมื่อเทียบกันแล้วรุนแรงกว่าเล็กน้อย
ทันทีที่โดนเสิ่นเทียนดูดซับเข้าไปในร่างกาย พวกมันเริ่มกระตุ้นกล้ามเนื้อของเสิ่นเทียนอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้น เสิ่นเทียนมีความรู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อทั่วร่างราวกับโดนค้อนทุบ
ความเจ็บปวดถาโถมเข้าหาเสิ่นเทียนราวกับกระแสน้ำเป็นระลอก
แม้ไม่ได้เจ็บจนถึงขีดสุด แต่ความรู้สึกมันอยู่นาน ยิ่งไปกว่านั้นยังชาและเมื่อย แถมยังมีความรู้สึกคันเล็กน้อย
ทำเอาเสิ่นเทียนต้องกำ ศิลาวิญญาณไว้แน่น สีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
วิธีการฝึกบำเพ็ญของบรรพบุรุษ…
น่าประทับใจมาก!
ในขณะเดียวกัน ถังอาบยาสมุนไพรที่เสิ่นเทียนซื้อมาในราคาที่สูงลิ่ว ก็ เริ่มได้ทำหน้าที่ของมัน
ฤทธิ์ยาถูกดูดซับเข้าไปตามรูขุมขนของเสิ่นเทียน คอยรักษากล้ามเนื้อที่โดน สลายไปของเขา
ระหว่างที่เสียหายและฟื้นฟู ทำให้กล้ามเนื้อของเสิ่นเทียนกระชับและแข็งแกร่งมากขึ้น
สีของยากำลังจางลงทีละนิด
ส่วนร่างกายของเสิ่นเทียนก็กำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างช้าช้า
เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนกลายเป็นผุยผง ถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น!
“เป็นอย่างที่คิด ไม่มีทรัพยากรจะแข็งแกร่งได้อย่างไร
ข้าต้องการศิลาวิญญาณมากกว่านี้”
เสิ่นเทียนราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาลืมตาขึ้น มีประกายแสงสายหนึ่งพุ่งออกจากดวงตา
สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ของความตื่นเต้น “ลุงกุ้ยรีบเอาศิลาวิญญาณมาให้ข้า ข้าสัมผัสได้ถึงขอบเขตของชั้นนั้นแล้ว! ขอเพียงเพิ่มพลังอีกนิด วันนี้ก็จะสามารถทะลวงขีดจำกัดนั้นได้แล้ว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน