บทที่ 310 กระบี่นี้ไม่ควรอยู่ในโลกมนุษย์!
น้ำตาดาวเทพสมุทรห้าร้อยสองเม็ด คือทรัพย์สินมหาศาลที่ยากจะจินตนาการได้
หากไหลไปอยู่ในตลาดทั้งหมด ก็มากพอจะทำให้ทั้งทะเลอุดรสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
แน่นอน ไม่มีเผ่าใดขายน้ำตาดาวเทพสมุทรไปอย่างโจ่งแจ้ง
ถึงอย่างไรของหายากก็มีราคาแพง หากขายน้ำตาดาวเทพสมุทรไปในปริมาณมาก ราคาก็จะลดลงอย่างมากด้วย
สู้เก็บไว้ใช้ฝึกบำเพ็ญเอง ที่เหลือให้กับคนใกล้ชิด หรือให้สำนักแลกเป็นแต้มคุณูปการดีกว่า
“ได้ยินมานานว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มีสวรรค์ดูแล เป็นบุตรแห่งโชคสูงสุดของห้าดินแดน ตอนนี้แซ่ไป๋ยอมแล้ว”
คุณชายไป๋แห่งเผ่าเทพหมึกยักษ์ได้แบ่งน้ำตาดาวเทพสมุทรไปไม่น้อย ใบหน้ามีรอยยิ้มเจิดจรัส
เขารู้ดีว่าครั้งนี้ตนอาศัยบารมีของเสิ่นเทียน
หากไม่เช่นนั้น ด้วยศักยภาพของเขา แม้จะเดินทางในเขตทะเลเบิกฟ้าหนึ่งปีก็อาจจะไม่ได้โชคลิขิตยิ่งใหญ่เช่นนี้มา
ได้แบ่งน้ำตาดาวเทพสมุทรสิบสองเม็ด ต่อให้ตอนนี้ออกจากเขตทะเลเบิกฟ้า พวกเขาก็ไม่ขาดทุนเลย
คุณชายเซี่ยแห่งเผ่าปูเทพทองคำก็กวัดแกว่งกล้ามปูเช่นกัน พูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้โชคดีที่มีบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงอยู่ หากไม่เช่นนั้นต่อให้หาเจอน้ำตาดาว ก็เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่ได้มาง่ายๆ แน่นอน องค์หญิงเผียนเซียนก็มีคุณูปการหาน้ำตาดาวเช่นกัน พวกเรานี่สิต้องหน้าด้านขออาศัยบารมี”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความซาบซึ้งใจของสี่คุณชายที่มีต่อตนแล้ว เสิ่นเทียนรู้สึกหน้าร้อนนิดๆ
แค่กๆ เขาจะบอกได้หรือว่าจริงๆ แล้วเขาแค่เกาะโชคลิขิตเฉยๆ
สิ่งมงคล บุตรแห่งโชคอะไรนั่น…
เหอะๆ ละอายใจมิกล้ารับไว้จริงๆ!
……..
สุดท้าย น้ำตาดาวเทพสมุทรห้าร้อยสองเม็ดก็แบ่งให้เสิ่นเทียนไปสองร้อยเม็ด
หลังจากทุกคนได้น้ำตาดาวแล้ว ยังต่างเจอว่านแปลกหายากบนเกาะทะเลอีกไม่น้อย
แม้ว่านแปลกพวกนี้จะไม่ล้ำค่าเท่าน้ำตาดาวเทพสมุทรเลย แต่ก็เป็นว่านวิญญาณระดับสูงสุดหายากในโลกภายนอก
พูดได้ว่าผู้สูงศักดิ์ส่วนใหญ่พบแล้วยังต้องใจสั่นไหว กระทั่งอาจจะลงมือต่อสู้แย่งชิงกัน
มีสิ่งเดียวที่ทุกคนเสียดายคือ เขตใจกลางเกาะนี้ถูกหมอกเบิกฟ้าปกคลุมทั้งหมด หารอยแยกเข้าไปไม่ได้เลย ไม่เช่นนั้นอาจจะมีสมบัติล้ำค่าอยู่ในนั้นก็ได้
ถึงอย่างไรลำพังแค่รอบนอกเกาะก็เจอน้ำตาดาวเทพสมุทรห้าร้อยกว่าเม็ดแล้ว เกาะดารานี้พิเศษและมหัศจรรย์มากจริงๆ
“โชคลิขิตมาไม่ถึง ได้แต่บอกว่าเขตใจกลางไร้วาสนากับพวกเรา”
เสิ่นเทียนมองกว้างมาก ในภาพโชคลิขิตเหนือศีรษะทุกคนไม่มีภาพของเขตใจกลางเกาะนี้เลย
เห็นได้ชัดว่าใจกลางนี้ไม่เปิดให้นักผจญภัยเลย อยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีความหมาย
กรงหมอกเบิกฟ้าเหนือศีรษะแยกออกช้าๆ เสิ่นเทียนจึงตัดสินใจออกไป
แปดคนพุ่งขึ้นฟ้าไปนอกรอยแยกพร้อมกัน เบียดผ่านรอยแยกออกไปอย่างราบรื่น
จนเมื่อพวกเขามาถึงบนฟ้าเกาะทะเลเบิกฟ้าอีกครั้ง ก็เผชิญหน้ากับโอรสสวรรค์เผ่าทะเลอื่นที่เตรียมพร้อมจะบุกทุกเมื่อหลายคน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาน่าจะมารอนอกเกาะดาราหลายวันแล้ว
กว่ากรงหมอกเบิกฟ้าจะเกิดรอยแยกไม่ใช่ง่ายๆ ขณะกำลังจะเข้าไปกวาดล้างครั้งใหญ่ ก็เจอกับพวกเสิ่นเทียนออกมาจากข้างใน พวกเขาน้ำตาแทบไหล
ถึงอย่างไรเจ้าพวกนี้ก็ไม่มีใครล่วงเกินได้ ในเมื่อพวกเขามุดออกมาจากในนั้น ก็คงจะไม่เหลือแม้แต่เส้นขนในนั้นกระมัง!
หรือก็คือ พวกเขารอที่นี่หลายวันอย่างเปล่าประโยชน์!
“ขอคารวะองค์รัชทายาทมังกรลำดับเจ็ด บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง แล้วก็องค์หญิงเผียนเซียน”
โอรสสวรรค์เผ่าทะเลพวกนั้นโค้งตัวให้พวกเสิ่นเทียนอย่างเคารพนบนอบ จากนั้นพุ่งทะยานไปทางอื่นเหมือนจะหนี
ไม่ใช่เพราะกลัวโดนเสิ่นเทียนเล่นงาน แต่การผจญภัยเกาะดาราเดือนแรกจะหาโชคลิขิตเจอง่ายที่สุด หลังผ่านไปหนึ่งเดือน เกาะรอบนอกส่วนใหญ่และเกาะที่ค่อนข้างปลอดภัยจะถูกนักผจญภัยจำนวนมากกวาดล้างจนเกลี้ยง
ถึงตอนนั้นการจะหาโชคลิขิตที่มากกว่า ก็ต้องเสี่ยงอันตรายไปยังเขตทะเลที่ลึกกว่า อันตรายก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
พวกเขารออยู่หน้าเกาะนี้มาหลายวัน เท่ากับเสียเวลาไปสามวันเต็มๆ
คิดๆ ดูแล้ว ถ้าปัดเศษก็จะเท่ากับเสียไปหนึ่งร้อยล้าน!
แล้วยังไม่รีบเปลี่ยนที่อีกหรือ
……
“เป็นปีศาจที่มีมารยาทมาก”
เมื่อเห็นโอรสสวรรค์ที่รีบร้อนลนลานจากไปพวกนั้นแล้ว เสิ่นเทียนอดทำเสียงจิ๊ๆ พลางถอนหายใจไม่ได้
ไฉนต้องทำถึงขนาดนี้!
แค่พลาดไปเกาะเดียวเองไม่ใช่หรือ ไฉนต้องจริงจังอะไรเช่นนั้น! บางครั้งการหาโชคลิขิตก็จะรีบร้อนไม่ได้ ใจร้อนจะกินเต้าหู้ร้อนไม่ได้
เจ้าดูข้าสิไม่รีบร้อนเลย กระทั่งยังอยากกลับไปพักผ่อนในเมืองสุขาวดีสองวันแล้วค่อยว่ากัน
อืม รู้ว่าทุกโชคลิขิตจะปรากฏขึ้นเมื่อไร
ก็เลยทำตัวตามสบายได้เช่นนี้ไง
เอ๋าอูโยนน้ำตาดาวเทพสมุทรเม็ดหนึ่งใส่ปาก เคี้ยวกรุบๆ เหมือนน้ำตาล ทั่วร่างเปล่งแสงสีฟ้า
เขามองเสิ่นเทียน “พี่เสิ่นเทียน เราจะไปที่ใดต่อ ท่านนำทางเลย!”
ฉีเซ่าเสวียนด้านข้างรู้สึกปวดร้าวนิดๆ เห็นอยู่ว่านี่คือสหายทำสัญญาของเขา!
อีกทั้ง จะให้แซ่ฉีลองนำทางดูสักครั้งไม่ได้หรือ
ความจริงแซ่ฉีก็อาจจะมีความสามารถเหนือชั้นในการนำทางพวกเขาก็ได้!
เสิ่นเทียนไม่รู้สึกถึงความคับแค้นใจในส่วนลึกแววตาของฉีเซ่าเสวียน
เขาหลับตาลงช้าๆ นึกถึงภาพที่เห็นเหนือศีรษะโอรสสวรรค์บางคน
ทว่าในสายตาพวกอวี้เผียนเซียน เอ๋าอูและฉีเซ่าเสวียน เสิ่นเทียนในตอนนี้ดูลึกลับไม่อาจคาดเดา
เขาเหมือนกำลังสำแดงวิชาสัมผัสอะไรบางอย่าง บนใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มลึกลับ เหมือนจะส่องความลับสวรรค์ได้
สหายเสิ่นหาน้ำตาดาวเทพสมุทรพบไม่ใช่เรื่องบังเอิญจริงๆ
บุตรศักดิ์สิทธิ์ลึกลับคนนี้มีวิธีการหาสมบัติที่ลึกลับคาดเดาไม่ได้อยู่จริงๆ
แต่ทุกคนไม่ถามเสิ่นเทียน เพราะทุกคนในโลกบำเพ็ญเซียนต่างก็มีความลับของตน เคารพความลับที่คนอื่นเขาไม่อยากเปิดเผย คือเงื่อนไขพื้นฐานของการรักษามิตรภาพกับสหายไว้
อย่างอื่นไม่ว่า ฉีเซ่าเสวียน เอ๋าอูไปจนถึงอวี้เผียนเซียนกับสี่คุณชายสามารถเป็นโอรสสวรรค์ได้ ใครบ้างที่ไม่มีความลับ!
……..
เสิ่นเทียนลืมตาขึ้นช้าๆ ภายใต้สายตาเฝ้ามองของทุกคน
เขายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะชี้ไปยังส่วนลึกยิ่งกว่าของเขตทะเลเบิกฟ้า “ถ้าไม่เช่นนั้นก็เข้าไปลึกอีกแล้วกัน”
ทุกคนมองเสิ่นเทียนลึกๆ ภายในใจเหมือนกับกระจกใส
หากครั้งนี้ยังเป็นมหาโชคลิขิต จะต้องมีคำถามแน่
ได้ยินมาว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แห่งดินแดนบูรพามีกลุ่มสวรรค์พิทักษ์อยู่ ก่อนหน้านี้มีชื่อว่าลัทธิปรมาจารย์สวรรค์ นับถือปรมาจารย์สวรรค์เสิ่น
และข้อสอนดั้งเดิมสุดของลัทธิปรมาจารย์สวรรค์คือเชื่อว่าปรมาจารย์จะได้โชคลิขิต อีกทั้งยังเล่าลือว่าแม่นยำทุกครั้ง
เดิมทีตอนที่ได้ยินข่าวพวกนี้ ทุกคนไม่คิดเช่นนั้นเลย
แต่วันนี้ พวกเขาเริ่มสั่นคลอนนิดๆ แล้ว
ถึงอย่างไรเสิ่นเทียนก็ให้ไปเยอะมาก
ระหว่างทางเงียบมาตลอด ทุกคนพุ่งทะยานตามเสิ่นเทียนเข้าไปยังส่วนลึกของทะเลอุดรต่อ
ก็ยังเหมือนตอนแรกสุด ระหว่างทางเจอเกาะทะเลเสิ่นเทียนจะไม่แยแสเลย ราวกับรู้เป้าหมายของตนชัดเจน
บางครั้งก็เจอกลุ่มหมอกเบิกฟ้าบ้าง ทุกคนก็อ้อมไปไกล ไม่เจออันตรายอะไร
ภายใต้การกดดันจากยอดค่ายกลเบิกฟ้า ทุกคนใช้เวลาไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเพิ่งจะบินไปได้หมื่นลี้ และตอนนี้หมอกเบิกฟ้าในเขตทะเลหนากว่าก่อนหน้านี้หลายเท่ามาก โดยเฉพาะกรงหมอกบนหมู่เกาะ
หากบอกว่าหมอกเบิกฟ้าที่วนเวียนรอบเกาะทะเลพวกนั้นรอบนอกเขตทะเลเบิกฟ้าเป็นเพียงมุ้งบางๆ เช่นนั้นกรงหมอกที่พวกเสิ่นเทียนเห็นอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกับผ้านวมผืนใหญ่
มันห่อหุ้มหมู่เกาะพวกนั้นและหมุนม้วนไม่หยุด เห็นแล้วยังทำให้คนรู้สึกขนพองสยองเกล้า นั่นคือการกดดันในด้านต้นกำเนิดชีวิต
……
ในที่สุดเสิ่นเทียนก็หยุดลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน