บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน นิยาย บท 358

บทที่ 358 ตระหนักวิชาจักรพรรดิ ยังต้องดื่มชาด้วยรึ

ขอไม่เอ่ยว่าคนรอบข้างตอนนี้ปวดใจเพียงใด อย่างน้อยตอนที่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงรับชาตระหนักรู้ ก็มีดวงตาเร่าร้อน

เขาดมกลิ่นหอมชาเบาๆ รู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งและสงบเงียบ แม้แต่วิญญาณอริยะยังใสสะอาดในฉับพลัน ปัญหายากในด้านการฝึกบำเพ็ญมากมายในอดีตพลันได้รับการไขกระจ่างในทันที

ต่อให้ไม่พบศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรคนี้ ลำพังแค่ผลของชาตระหนักรู้ เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงก็พัฒนาไปอีกขั้นปิดด่านบำเพ็ญ ระดับพลังก้าวหน้าอย่างมากได้แล้ว

นี่ทำให้ความอาลัยอาวรณ์และปวดใจในอาวุธอริยะของตนของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงมลายหายไปไม่น้อย

ถึงอย่างไรก็เป็นถึงระดับเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้อาวุธอริยะจะล้ำค่า แต่มีอาวุธอริยะมากกว่าเดิมชิ้นสองชิ้นก็ไม่มีผลกับพวกเขามากนัก

และแม้ชาตระหนักรู้จะใช้แล้วหมดไป แต่ก็เพิ่มศักยภาพของตนได้อย่างแท้จริง

ส่วนได้ส่วนเสียในนั้นมีเพียงตนที่รู้ดี

ตอนนี้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงยืนอยู่ตรงหน้าศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรค มูลค่าของใบชาตระหนักรู้อีกาทองนี้จึงเพิ่มขึ้นหลายเท่ากระทั่งหลายสิบเท่า

ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นคัมภีร์จักรพรรดิสุริยะ หากตระหนักแก่นสำคัญในนั้นได้จริงๆ มูลค่าจะไม่ใช่แค่อาวุธอริยะชิ้นสองชิ้นจะเทียบได้ กระทั่งอาวุธอริยะสิบกว่าชิ้นก็ยังเทียบไม่ได้!

“สมกับเป็นชาตระหนักรู้ระดับสีเงิน ชานี้ควรมีอยู่แค่บนโลกเซียนจริงๆ โลกมนุษย์จะได้ดอมดมสักกี่ทีกัน

หอม หอมจริงๆ!”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงจิบชาเบาๆ ทำปากแจ๊บๆ

ทันใดนั้นเอง แสงศักดิ์สิทธิ์ไร้ที่สิ้นสุดก็ปะทุมาจากในกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง ย้อมครึ่งท้องนภาเป็นสีม่วง

ในมวลอากาศมีเสียงบทสวดพระเจ้าดังขึ้น เหนือธรรมดา นั่นคือผลของการฝึกวิถีมรรคของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง คนและฟ้ารวมเป็นหนึ่ง!

“สหายทุกท่าน ในใจข้าเกิดการตระหนักพรั่งพรูมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด ขอตัวไปตระหนักมรรคก่อน ต้องเสียมารยาทด้วย”

เมื่อเอ่ยจบแล้ว เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงก็ดื่มชาที่เหลือในแก้วหมดในอึกเดียว ก่อนจะเดินตรงไปยังศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรคนั้น

……

เปรี้ยง~

ทันทีที่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงนั่งลงตรงหน้าศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรค อักขระโบราณบนศิลาจักรพรรดิได้แผ่แสงเทพสว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง

แสงเทพนั้นค่อยๆ ลอยมาจากศิลาจักรพรรดิ กลายเป็นอักขระมากมายวนเวียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง มีเสียงมรรคอันลึกลับยิ่งวนเวียนอยู่

เสียงมรรคพวกนี้ซับซ้อนและเข้าใจยาก ลึกลับในลึกลับ ต่อให้เป็นผู้อริยะคนอื่นรอบกายร่วมตระหนักด้วยกัน ก็ไม่อาจเข้าใจความลี้ลับในนั้นได้เลย เหมือนกำลังฟังตำราสวรรค์

ทว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงที่นั่งอยู่ตรงกลางอักขระไร้ที่สิ้นสุดนั้นกลับมีแววตาเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ “ลึกล้ำ ลึกล้ำยิ่งนัก!”

เมื่ออักขระวนเวียนรอบตัวเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงมากขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายพลังของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

ข้างหลังเขาปรากฏแสงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอย่างไร้พรมแดน ไอม่วงจากแดนบูรพาสามหมื่นลี้ เหมือนกับราชาเทพมาเยือน

ไอม่วงไร้พรมแดนนั้นรวมกันข้างหลังเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง ไม่นานก็กลายเป็นดวงตะวันใหญ่สีม่วงมหึมาดวงหนึ่ง แสงสว่างแพรวพราวส่องภูผานทีหลายหมื่นลี้ คงอยู่ยิ่งใหญ่เนิ่นนาน

ภายใต้การส่องสะท้อนของกลุ่มแสงม่วง แม้แต่เหล่าผู้อริยะโดยรอบยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันรุนแรง

เห็นได้ชัดมากว่าเมื่อดื่มชาตระหนักรู้แล้วตระหนักศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรค มีส่วนช่วยเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงอย่างยิ่ง ระดับพลังและศักยภาพแฝงของเขาเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วสูงสุด

กระทั่งมองจากปรากฏการณ์ข้างหลังเขา เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงยังตระหนักความลี้ลับของคัมภีร์จักรพรรดิสุริยันส่วนหนึ่งจากในนั้นแล้ว อีกทั้งยังยืนยันร่วมกับคัมภีร์จักรพรรดิเคหาสน์ม่วงแล้ว

หลังตระหนักมรรคครั้งนี้ ระดับพลังของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงจะต้องพุ่งพรวดในเวลาอันสั้นแน่นอน

ถึงตอนนั้นฐานะของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงในเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ทุกคนของดินแดนบูรพาไปจนถึงห้าดินแดนจะต้องสูงขึ้นอย่างมากเช่นกัน

เวลานี้ ผู้อริยะทั้งหมดรอบข้างรู้สึกอิจฉาแล้ว

และสิ่งที่มาพร้อมกับความอิจฉาคือใจสั่นไหวและกระหายอย่างรุนแรง

อาวุธอริยะรึ ถึงมูลค่าจะสูงมากและล้ำค่ามาก แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ใดจะไม่มีเก็บไว้เลย ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้ไปก่อน จากนี้ค่อยหลอมอีกสองสามชิ้นมาบ่มเพาะก็จบแล้วไม่ใช่รึ

ทว่าชาตระหนักรู้ระดับล้านปีนี้ เป็นของที่มีเงินก็ซื้อไม่ได้

ถ้าวันนี้พลาดไป ครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะมาอีกเมื่อไร

มีบัตรทองให้ใช้ก็ต้องใช้ พันตำลึงทองเสียไปก็ยังหามาใหม่ได้!

ทันใดนั้นผู้อริยะทุกคนต่างเข้าใจกันแล้ว

ผู้อริยะพากันเดินไปหาเสิ่นเทียนทีละคนด้วยใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนโยนและเป็นกันเอง

“เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์โชคดีจริงๆ มีศิษย์เช่นนี้ได้ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ หม้อศักดิ์สิทธิ์อัคคีนี้เป็นอาวุธอริยะหลอมโอสถ ขอมอบให้บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นของขวัญพบหน้าแล้วกัน!”

“แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับฝ่ายข้าสนิทสนมกันมาหลายยุคหลายสมัย ข้ากับเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ยังสนิทกันเหมือนพี่น้อง หากบุตรศักดิ์สิทธิ์สนใจ ว่างก็มาเป็นแขกที่แดนศักดิ์สิทธิ์อณูเทพได้ ข่ายเซียนอณูเทพนี้บดบังฟ้าและตะวันได้ ปราบปีศาจสยบมาร ขอมอบให้บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ”

“ระยำ พวกเจ้าทำใจยกอาวุธอริยะแลกกับชาถ้วยเดียวหรือ ฟุ้งเฟ้อล้างผลาญครอบครัวเช่นนี้ พวกเจ้าจะยังเป็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่รึ ช่วยลังเลกันบ้าง ให้ข้าแลกก่อนสิ!”

“บุตรศักดิ์สิทธิ์ ข้าขอมอบอาวุธอริยะให้สองชิ้น ข้าขอเพิ่มชาอีกถ้วยได้หรือไม่”

…..

อาวุธอริยะแต่ละชิ้นถูกยัดใส่มือเสิ่นเทียน ทุกชิ้นเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์สว่างพร่างพราว บนนั้นมีลายเทพลี้ลับไหลเวียน โอรสสวรรค์หนุ่มสาวคนอื่นริมทะเลสาบเห็นแล้วยังตาแดง

เปรี้ยวแล้วๆ ในอากาศมีแต่กลิ่นมะนาว

โอรสสวรรค์หนุ่มสาวบ้านอื่นปกติจะใช้อาวุธวิญญาณ ได้ใช้อาวุธวิญญาณระดับสูงสุดก็ถือว่าอยู่ในระดับบุตรศักดิ์สิทธิ์แล้ว

มีเพียงผู้โดดเด่นที่สุดในบุตรศักดิ์สิทธิ์ถึงจะได้รับอาวุธอริยะเป็นกรณีพิเศษในระดับผู้สูงศักดิ์ อีกทั้งปกติต้องเป็นระดับจุดสูงสุดผู้สูงศักดิ์ถึงจะได้รับ

แต่เสิ่นเทียนล่ะ!

หากพวกเขาจำไม่ผิด ตอนนี้บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เพิ่งจะจุดสูงสุดระดับกายทองเท่านั้น!

อาวุธอริยะแขวนบนตัว นับดูคร่าวๆ แล้วมีหลายสิบชิ้น!

เทียบกันแล้ว น่าโมโหชะมัด!

“ผู้อาวุโสทุกท่านเกรงใจไปแล้ว เกรงใจไปแล้ว! นี่จะได้อย่างไรกัน! ไม่ต้องให้มาแล้ว ผู้เยาว์รับไม่ไหวแล้ว”

เสิ่นเทียนห้อยอาวุธอริยะพวกนี้ไว้บนตัวด้วยความจำใจ พยายามหลอมรวมในขั้นต้นและเก็บเข้าไปในแหวนเก็บของ

ลำพังแค่หยดโลหิตเป็นนายและเก็บอานุภาพก็ยุ่งยากแล้ว

ช่างเถอะ เอาออกมาปลูกผักกุยช่ายอีกหน่อยแล้วกัน!

เสิ่นเทียนคิดๆ แล้วก็มองศิษย์เทพสวรรค์ทุกคนข้างหลัง

“ศิษย์พี่หญิง กระบี่อริยะหงส์ทองคมกว่ากระบี่พยัคฆ์ขาวของท่าน ท่านรับไว้เถอะ!”

เสิ่นเทียนเลือกกระบี่ยาวมาเล่มหนึ่งและส่งไปตรงหน้าจางอวิ๋นซี

อาวุธอริยะกระบี่ยาวเป็นสีเงินทุกส่วน มีพลังแห่งกฎเกณฑ์ธาตุทองเข้มข้นวนเวียน ตรงด้ามกระบี่ยังแกะสลักลายเทพหงส์ทอง

ดูแล้วมีรูปทรงที่ว้าวมาก!

เมื่อเห็นกระบี่ยาวอาวุธอริยะตรงหน้า จางอวิ๋นซีก็หน้าแดงขึ้นมา ศิษย์น้องห่วงใยข้าจริงๆ ด้วย ขนาดอาวุธอริยะยังมอบให้ได้ง่ายดายเช่นนี้

“อืม~”

จางอวิ๋นซีพยักหน้าเบาๆ ดวงตาดั่งสายน้ำใบไม้ร่วง “น้ำใจของศิษย์น้องข้า…”

ทว่านางยังเอ่ยไม่จบก็โดนเสิ่นเทียนพูดขัดก่อน “ศิษย์พี่ใหญ่ ทวนราชันอหังการมังกรกล้านี้บ้าอำนาจยิ่ง เหมาะกับรูปแบบการต่อสู้ของท่านพอดี

ศิษย์พี่รอง ท่านใช้พิณเข้าสู่มรรค ชำนาญวิชาการจู่โจมด้วยเสียง พิณเจ็ดสายมังกรฟ้านี้อยู่ในมือท่าน ถึงจะแสดงอานุภาพที่แท้จริงออกมาได้!

ศิษย์น้องเฮ่า เจ้าชำนาญวิชามีดสั้น ทั้งยังมีอัคคีอรุณใต้ บรรทัดอริยะเมฆาชาดนี้เหมาะกับเจ้าที่สุดแล้ว”

เมื่อเห็นสามคนจะเอ่ยปฏิเสธ เสิ่นเทียนก็ยิ้ม “ทุกคนอย่าปฏิเสธเลย พวกเราเป็นพี่น้องสำนักเดียวกัน อาวุธอริยะเทียบกับไมตรีของเราแล้ว มันจะมีค่าอะไรกัน หากทุกคนไม่สบายใจจริงๆ ภายภาคหน้าหากมีอาวุธอริยะใหม่ ก็ค่อยเอามาคืนแซ่เสิ่นแล้วกัน วันข้างหน้า บางทีแซ่เสิ่นอาจจะต้องให้พี่น้องทุกท่านช่วย!”

……..

เมื่อเสิ่นเทียนเอ่ยจบ ผู้อริยะและชนรุ่นหลังทุกคนต่างตะลึงงัน

ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ผู้อริยะทุกคนนำอาวุธอริยะมาแลกกับชาตระหนักรู้ ใจกว้างพอแล้วละก็ เช่นนั้นตอนนี้ขณะที่เสิ่นเทียนพูดคุยเล่นก็ยกอาวุธอริยะสี่ชิ้นให้กับพี่น้องของตน ก็ทำให้คนจากขุมอำนาจอื่นตกใจจนปิดปากไม่ได้แล้ว

ถึงเสิ่นเทียนจะบอกว่า ‘ภายภาคหน้าหากมีอาวุธอริยะใหม่ค่อยเอามาคืน’ ก็ตาม แต่คนโง่ก็ฟังออกว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้าง

เพื่อให้พวกฟางฉางรับอาวุธอริยะไปแล้ว จะเกรงใจปฏิเสธไม่ได้เท่านั้น

บอกว่าให้ยืม แต่ความจริงคือการให้เลย เป็นการลงทุน!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน