สีนั้นเขียวเข้ม เขียวจนบ้าคลั่ง เขียวอย่างมีชีวิตชีวา!
ตอนนี้ เสิ่นเทียนถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
ในเมื่อแสงสว่างของเถ้าแก่ซ่งมากขึ้น เช่นนั้นเสิ่นเทียนก็วางใจได้ ไม่อย่างนั้นเขากังวลว่าจะทำแผนการใหญ่ในการชำระล้างตัวเองให้ขาวบริสุทธิ์เสีย
คิดไปคิดมาก็ใช่ เถ้าแก่ซ่งบอกเองว่าค้อนอันนี้มีมูลค่าหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณ ข้าให้ศิลาวิญญาณหมื่นก้อนกับเขาหมด ก็น่าจะไม่ได้แบ่งผลประโยชน์ใดๆ มาเลย
แบบนั้นแล้ว ถ้าโชคของเขาไม่เพิ่มขึ้นก็พูดไม่ออกจริงๆ
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนถอนหายใจโล่งอก เก็บค้อนม่วงทองเข้าไปในแหวนเวหา ก่อนจะหมุนตัวไปเริ่มค้นหาแร่วิญญาณที่เหมาะสมกับผู้มีวาสนาคนอื่นๆ
…………….
ครู่ต่อมา ปรากฏของดีในหินแร่วิญญาณก้อนหนึ่ง
นั่นคือกระบองไม้เล็กๆ สีแดงอันหนึ่ง ตรงปลายผูกลูกตุ้มดาวตกเอาไว้สองอัน น่าจะเป็นอาวุธเร้นลับ
เถ้าแก่ซ่งวิเคราะห์ให้เป็นสมบัติวิเศษระดับกลาง มีมูลค่าประมาณสี่พันศิลาวิญญาณ
ผู้มีวาสนาที่ได้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มองเสิ่นเทียน เหมือนจะสับสนและอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย
ทว่าเขาก็ยังกัดฟันเอ่ย “ท่านเซียน ในตัวข้ามีศิลาวิญญาณไม่พอสองพันก้อน เกรงว่าคงจ่ายค่าผ่าแร่ให้ท่านไม่ได้”
เสิ่นเทียนเอ่ยอย่างนุ่มนวล “ช่วยไม่ได้ ข้าไม่รับเงินผู้มีวาสนาแม้แต่แดงเดียว เจ้าไม่ต้องให้ก็ได้”
คนนั้นสะดุ้งโหยง “ไม่ๆๆ ท่านเซียนเป็นธุระให้เราอยู่ตลอด ไม่เอาค่าเหนื่อยจะได้อย่างไร คะ คะ คือว่า…เอาอย่างนี้แล้วกัน! ข้าขอขายสมบัติวิเศษชิ้นนี้ให้ท่านเซียนในราคาศิลาวิญญาณสี่ร้อยก้อน ท่านจะว่าอย่างไร”
เขาพูดพลางมองเสิ่นเทียนด้วยสีหน้าเฝ้ารอคอย
ทว่าเสิ่นเทียนกลับหน้ามืดทะมึนลง “สมบัติวิเศษราคาสี่พันจะขายให้ข้าสี่ร้อยอย่างนั้นรึ”
เขามองเถ้าแก่ซ่งด้วยความสงสัยก่อนจะมองผู้มีวาสนาคนนี้อีก เจ้าสองคนนี้คงไม่วางอุบายจะหลอกข้าอยู่หรอกนะ!
แม้แต่ค้อนม่วงทองที่มีแสงสีทองขยับประกาย ยังมีค่าแค่หนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณ แล้วสมบัติวิเศษชิ้นนี้ดูต่ำจะตาย ทั้งยังสกปรกนิดๆ อีก หน้าตาธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษก็มีค่าสี่พันศิลาวิญญาณเชียวหรือ
คิดว่าข้าเป็นแกะอ้วนไม่เข้าใจอะไรเลยรึ นี่ดูถูกสติปัญญาข้ากันชัดๆ!
………
ในธุรกิจเดิมพันหินแร่ช่างซับซ้อนยิ่งนัก
เสิ่นเทียนคิดว่าตนจะเสี่ยงอันตรายไม่ได้ง่ายๆ
พอคิดได้ดังนั้นก็พูดด้วยความถูกต้องชอบธรรม “หึ หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนชอบละโมบเอาเปรียบคนอย่างนั้นรึ ในเมื่อสมบัติวิเศษชิ้นนี้เป็นโชคลิขิตของเจ้าก็รับเอาไว้เถอะ ไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้ข้า
ข้าเองก็ไม่ใช่คนละโมบเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ นี่คือการดูหมิ่นข้า!”
เอ่ยจบ เสิ่นเทียนก็แค่นเสียงขึ้นจมูกทีหนึ่ง จากนั้นปัดแขนเสื้อเดินไป!
ทันทีที่เขาเดินไป กลับทำให้ผู้มีวาสนาคนนั้นตกใจจนทนไม่ไหว
เหตุใดเถ้าแก่ซ่งขายค้อนม่วงทองให้ท่านเซียนในราคาถูกได้ แต่ข้ากลับขายกระบองดาวตกวิญญาณร้ายให้ท่านเซียนในราคาถูกไม่ได้หรือ
ตอนนี้ท่านเซียนไม่รับแม้แต่ค่าเหนื่อยของข้า ท่านจะโกรธข้าหรือไม่ หรือว่าการที่ข้าอยากอวดเก่ง กลับกลายเป็นไม่เป็นที่โปรดปรานของท่านเซียนนับจากนี้ไป?
เวลานี้ ผู้มีวาสนาคนนั้นตกใจจนหน้าเหมือนเถ้าถ่าน สำนึกเสียใจทีหลัง
………
ผู้มีวาสนาคนที่สองเห็นสภาพย่ำแย่ของเขา จึงควักป้ายหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อเงียบๆ
เขาหยิบพู่กันวิเศษออกมาด้ามหนึ่ง บันทึกอะไรบางอย่างลงบนป้ายหยกอย่างจริงจัง
‘หนึ่ง แบ่งโชควาสนาให้ท่านเซียนครึ่งหนึ่ง ผลการต่อวาสนา-ค่อนข้างอ่อน สถานะ-มีผล
สอง กอดขาบอกว่าคิดถึงท่านเซียนนัก ผลการต่อวาสนา-ชัดเจน สถานะ-ไม่มีผลแล้ว
สาม ขายโชคลิขิตให้ท่านเซียนในราคาต่ำ ผลการต่อวาสนา-ชัดเจนมาก สถานะ-ไม่มีผลแล้ว
สรุปรวมคือ หนึ่ง ต้องประจบจากใจจริง ประจบในแนวคิดใหม่ๆ ส่งความจริงใจออกมาถึงจะมีผล
สอง จะมั่วตามไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจเป็นการอวดเก่งแต่ปล่อยไก่ ทำให้ท่านเซียนไม่พอใจได้
สาม ท่านเซียนไม่ชอบการเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ ต้องเป็นการเอาเปรียบหนักๆ ท่านเซียนถึงจะสนใจ’
บันทึกเสร็จสิ้น ผู้มีวาสนาคนที่สองเก็บป้ายหยกไปอย่างระมัดระวัง
เขาถอนหายใจเอ่ยว่า “ไม่นึกเลยว่าเถ้าแก่ซ่งจะฉลาดมากเพียงนี้ เหตุใดข้าหลิวไท่อี่ถึงคิดวิธีการดีๆ แบบนี้ไม่ได้! น่าเสียดายที่ตอนนี้น่าจะไม่มีผลแล้ว
เฮ้อ ในเมื่อให้กำเนิดซ่งแล้ว ไฉนถึงให้กำเนิดอี่ด้วย!”
ผู้มีวาสนาคนแรกกับสยงเหมิ่งข้างกายมองหลิวไท่อี่กับเถ้าแก่ซ่งด้วยความเลื่อมใสอย่างยิ่ง
นี่คือผู้มีสติปัญญาที่เคยร่ำเรียนในสถานศึกษาบำเพ็ญเซียนมารึ
แต่ละคนช่างร้ายกาจจริงๆ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน