เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวเสริมว่า “อีกอย่างนะลุงกุ้ย กลับไปแล้วคัดลอกบทหลอมปราณของ ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ หนึ่งฉบับ แล้วมอบให้ฉินเกานำไปฝึกฝน”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”
กุ้ยกงกงไม่ได้มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด ในมุมมองของเขา ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ เดิมทีก็เป็นขององค์ชายอยู่แล้ว
เขาฝึกฝน ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ ทั้งหมดก็เพียงเพื่อหลังจากที่แข็งแกร่งขึ้นแล้ว จะสามารถปกป้ององค์ชายได้ดียิ่งขึ้น
ในเมื่อองค์ชายยินดีมอบเคล็ดวิชาให้ฉินเกา เขาย่อมไม่มีทางตั้งคำถามต่อองค์ชาย
“แล้วอีกอย่าง ท่านไปเตรียมห้องให้เสี่ยวเกาที่เขตเรือนหนึ่งห้องก็แล้วกัน!”
เสิ่นเทียนกล่าวจบ ก็เตรียมตัวหันหลังเดินจากไป
ในความคิดของเขา เดิมทีคัมภีร์มารสู่สุริยันเป็นโชคลิขิตของฉินเกาอยู่แล้ว แม้เขาไม่ให้ ในอนาคตฉินเกาก็ต้องพบโชคลิขิตอย่างอื่นอยู่ดี
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่สู้ช่วยแล้วก็ช่วยให้ถึงที่สุด ถือโอกาสสร้างน้ำใจโดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงไปด้วย
เช่นนี้หากในอนาคตถ้าฉินเการุ่งโรจน์ขึ้นมาจริง ตนเองก็จะมีสหายที่ยอดเยี่ยมเพิ่มขึ้นอีกคน สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้
……
ความคิดของเสิ่นเทียนเรียบง่ายมาก แต่ทันทีที่เขากล่าวคำพูดประโยคนี้จบ
เรื่องอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น!
เสิ่นเทียนรู้สึกว่าร่างกายของตนเองเบาหวิวในทันใด ราวกับได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการที่มองไม่เห็น
ความรู้สึกเช่นนั้นลึกลับซับซ้อน แต่ก็ให้ความรู้สึกที่เหมือนจริงมาก
ทันใดนั้นราวกับเขานึกอะไรขึ้นได้ รีบหันกลับไปมองทางฉินเกา
เขาเห็นว่าวงรัศมีที่อยู่เหนือศีรษะของฉินเกาเปลี่ยนไป จุดแสงสีเขียวที่ปะปนอยู่ก่อนหน้านี้หายไปอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็นสีแดงวาววับทั้งหมด
เป็นเช่นเดียวกับครั้งแรกที่ได้พบกัน
เสิ่นเทียนหยิบกระจกออกมาจากในอกเสื้อ และมองวงรัศมีเหนือศีรษะของตนเองอย่างละเอียด
ถึงแม้ยังคงเป็นสีดำเหมือนเดิม แต่ไอมืดมนด้านบนจางลงไปไม่น้อย แลดูไม่เลวร้ายขนาดนั้นอีก
‘หรือว่าเป็นเพราะข้าคืนโชคลิขิตให้ฉินเกา ไม่ก็เพราะข้าได้รับส่วนแบ่งโชคลิขิตกับฉินเกาด้วย?’
เสิ่นเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจลองพิสูจน์
เขาจ้องวงรัศมีเหนือศีรษะของฉินเกา กล่าวอย่างกะทันหันว่า “ช่างเถอะลุงกุ้ย ไม่ต้องถ่ายทอดคัมภีร์มารสู่สุริยันให้แล้ว”
ทันทีที่เขากล่าวจบ ก็เกิดความรู้สึกว่าทั่วร่างหนักเล็กน้อย
ส่วนวงรัศมีที่อยู่เหนือศีรษะของฉินเกากลับมาสลัวลงอีกครั้ง และเปล่งแสงสีเขียวเป็นจุดๆ ออกมา
ลุงกุ้ยพยักหน้า “ได้พ่ะย่ะค่ะ”
แม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์ชายจึงเปลี่ยนใจ แต่ทุกสิ่งที่องค์ชายตัดสินใจ ต้องเป็นสิ่งที่ถูกแล้วแน่นอน
ลุงกุ้ยไม่มีทางตั้งข้อสงสัยเด็ดขาด
รอจนกระทั่งสีของวงรัศมีคงที่ เสิ่นเทียนถึงกล่าวอีกครั้ง “ข้ามาคิดดูแล้ว ถ่ายทอดให้ดีกว่า!”
เขาเพิ่งกล่าวจบ วงรัศมีเหนือศีรษะของฉินเกาก็เปล่งประกายเจิดจรัสขึ้นอีกครั้ง จุดแสงสีเขียวหายไปจนหมด
ทันใดนั้น เสิ่นเทียนตื่นเต้นอย่างยิ่ง
การคาดเดาของเขาถูกต้อง!
เป็นอย่างที่คิดจริงด้วย!
……
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
ลุงกุ้ยที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งเริ่มรู้สึกจนปัญญา
ถึงแม้การว่าร้ายองค์ชายเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเท่าไร แต่การที่องค์ชายไปหยอกล้อขันทีน้อยเช่นนี้
มันสมควรแล้วจริงหรือ
ในเวลานั้นเอง ฉินเกากล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “หรือไม่ก็ ไม่ต้องถ่ายทอดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวตามจริง ฉินเการู้สึกกลัวเล็กน้อย
องค์ชายสิบสามมีพระเมตตาต่อเขามากเกินไป ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตเขา ยังอนุญาตให้เขาอาศัยอยู่ในตำหนักใจพิสุทธิ์ และยังให้เขาไม่ต้องทำงาน
ตอนนี้ ยังจะถ่ายทอด ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ อะไรนั่นให้ตนเองอีก
ฉินเกาไม่รู้ว่าคัมภีร์มารสู่สุริยันคือสิ่งใด แต่สามารถทำให้องค์ชายสิบสามรู้สึกลังเลและอาลัยอาวรณ์ได้ จะต้องไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ไม่แน่มันอาจจะเป็นมรดกตกทอดน่าทึ่งที่ล้ำค่าควรเมืองก็เป็นไปได้
สิ่งที่เขาติดค้างองค์ชายมากพอแล้ว ถ้าหากยอมรับ ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ อะไรนั่นอีก ไม่รู้จะตอบแทนคุณอย่างไร
ไม่มีสิ่งใดสามารถนำมาตอบแทนคุณได้หมด!
หลังจากฉินเกากล่าวจบ วงรัศมีเหนือศีรษะของเขาเปลี่ยนกลับมาเป็นสีแดงมีจุดสีเขียวปะปนอีกครั้ง
เสิ่นเทียนเริ่มไม่สบอารมณ์ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่กว่าเขาจะค้นพบวิธีเปลี่ยนดวงชะตาให้ดีขึ้นได้
จะยอมให้ฉินเกามาทำลายแผนการใหญ่ของตนเองได้อย่างไร
มีเช่นนี้ที่ไหนกันเล่า!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน