บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน นิยาย บท 82

บทที่ 82 ดวงจิตหลานเอ๋อร์จะต้องยิ้มร่าไปทั่วแดนปรโลกเช่นกัน!
“อึก!”

“ฝ่าบาท…ฝ่าบาทองค์ชายสิบสาม เสด็จ!”

เสียงขันทีสั่นๆ ดังมาจากนอกตำหนักไร้พรมแดน ทันใดนั้นเสียงพูดคุยหัวเราะทั้งตำหนักไร้พรมแดนพลันเงียบลง ทุกสายตาจับจ้องไปยังประตูใหญ่ตำหนักไร้พรมแดนอันยิ่งใหญ่นั้น

ตอนนี้เงียบกริบ มีเพียงเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังชัดเจนอย่างยิ่ง

ยามนี้องค์ชายหกที่เดิมทีพยายามยิ้มให้แขกผู้มีเกียรติ รอยยิ้มแข็งค้างไปโดยพลัน

เสิ่นเอ้ารู้สึกว่าตนเริ่มจะสงสัยในชีวิตแล้ว ว่าช่วงนี้เขาทำผิดต่อเทพไท่ซุ่ยหรือไม่ ตั้งแต่รู้ความตอนหกขวบ น้องสิบสามจะมาร่วมงานราชสำนักน้อยมาก

สิบปีมานี้ เขาจะอยู่สันโดษในตำหนักใจพิสุทธิ์ตลอด

กระทั่งวันเกิดเสด็จพ่อยังแค่ส่งของขวัญอวยพรมาชิ้นหนึ่ง ส่วนตัวเสิ่นเทียนเองไม่เคยย่างกรายออกมาที่งาน คนอื่นๆ ในตำหนักต่างยอมรับกันโดยนัย

……..

สิบปีมานี้ปกติถ้ามีงานเลี้ยงงานบวงสรวง ตามประเพณีแล้วจะส่งบัตรเชิญให้น้องสิบสาม แต่ไม่เคยโผล่มาสักครั้ง แล้วเหตุใดวันนี้ถึงจู่ๆ ก็โผล่มา

น้องสิบสามเจ้าถูกใจขันทีน้อยคนนั้น พี่ก็ให้เจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ!

เจ้าช่วยอยู่เฉยๆ ให้พี่เดินทางอย่างปลอดภัยไม่ได้หรือ

เจ้ามางานเลี้ยงส่งพี่เช่นนี้ ทำให้พี่ลนลานมากเลยนะ!

ทันใดนั้นก็มีลางสังหรณ์ไม่เป็นมงคลแบบ ‘สายลมเปล่าเปลี่ยวพัดริมน้ำเป็นน้ำแข็ง’ ขึ้น!

เสิ่นเอ้ารู้สึกหนาวไปทั่วร่าง กำลังคิดอยู่ว่าควรจะออกจากวังไปคารวะอาจารย์หรือไม่

เสิ่นเทียนเดินเข้ามาช้าๆ ท่ามกลางสายตาจับจ้องอันตื่นตกใจของเสิ่นเอ้าและแขกทุกคน

แม้ชื่อเสียงอัปมงคลจะอยู่ข้างนอก แต่วินาทีที่เขาสวมชุดคลุมยาวปักลายงูเหลือมขาวก้าวเข้ามาในตำหนัก เหล่าบุตรีของตระกูลขุนนางทั้งหมดยังอดตาเป็นประกายใจแอบสั่นไหวมิได้

โลกนี้มีบุรุษรูปงามเหนือธรรมดาเช่นนี้ด้วยหรือ

เฮ้อ โทษไม่ได้ที่ดวงชะตาอับโชคมาตั้งแต่เยาว์วัย!

บางทีนี่อาจจะเป็นที่มาของคำว่าหญิงงามมักอาภัพรักก็ได้!

……

เสิ่นเทียนมองไปกลางตำหนักไร้พรมแดน

ความจริงเขาไม่รู้จักคนส่วนใหญ่ เพราะสิบปีมานี้เขาออกจากตำหนักใจพิสุทธิ์มาพบปะกันคนนอกน้อยมาก ขุนนางชั้นสูงและคนชั้นสูงพเนจรพวกนี้เองต่างก็เลี่ยงตำหนักใจพิสุทธิ์

ระหว่างสองฝ่ายไม่มีการคบค้าสมาคมกันอย่างสนิทสนมใดๆ เลย

จนเห็นบุรุษชุดคลุมจักรพรรดิกลางตำหนักไร้พรมแดนแล้ว เสิ่นเทียนอึ้งไป จักรพรรดิที่หน้าตาราบเรียบคนนี้คือเสด็จพ่อของข้าหรือ

แม้จะข้ามมิติมา ไม่ได้มีความรู้สึกกับบิดาอะไร แต่เลือดเนื้อได้มาจากบุพการี ในเมื่อเขาทะลุมิติมาเป็นองค์ชายสิบสาม เช่นนั้นก็ต้องคารวะบิดาที่ไม่ได้เจอมานานแทนองค์ชายสิบสาม นั่นก็เป็นเรื่องสมควร

คิดได้ดังนั้นเสิ่นเทียนจึงเดินหน้าหนึ่งก้าว โค้งตัวคารวะเสิ่นเซี่ยวลึกๆ “กระหม่อมขอคารวะเสด็จพ่อ”

……

เสิ่นเซี่ยวมองเสิ่นเทียนที่เติบใหญ่เป็นบุรุษสะโอดสะองยืนอยู่ตรงหน้าตนด้วยแววตาซับซ้อน

สารภาพตามตรง เสิ่นเซี่ยวทั้งรักทั้งแค้นโอรสลำดับที่สิบสามของตน ตอนนั้นเขามีพระสนมมากมาย แต่ก็รักพระสนมหลานคนเดียว

อีกทั้งด้วยความเป็นมารดาแบบอย่าง จึงได้รับความรักและเคารพจากทุกคนในวัง

กระทั่งเสิ่นเซี่ยวเตรียมรอองค์ชายสิบสามประสูติแล้วก็จะแต่งตั้งนางเป็นมเหสีทันที แต่ว่าวันนั้นที่องค์ชายสิบสามเสิ่นเทียนประสูติ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

วันประสูติขององค์ชายสิบสาม เดิมทีฟ้าใส ไร้เมฆหมื่นลี้ แต่จู่ๆ ก็ปรากฏเมฆดำหนาทึบ ปกคลุมทั้งพระราชวัง นั่นไม่ใช่เมฆฟ้าผ่า แต่มาจากโครงสร้างพลังงานพิเศษ

เมฆดำปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นมาทุกส่วน ทำให้คนทั้งพระราชวังต่างหวาดกลัวจนตัวสั่น

ในตอนนั้นพระสนมหลานจู่ๆ เกิดปวดครรภ์จะคลอด

เสิ่นเซี่ยวฝืนกดลางสังหรณ์ไม่ดีเอาไว้ รีบไปตามหมอหลวงที่ทำคลอดเก่งที่สุดมา ปรากฏว่าแม้โอรสจะคลอดอย่างราบรื่น แต่ก็ไร้เลือดฝาดใดๆ

และที่สำคัญกว่านั้นคือถึงจะคลอดสำเร็จ ทว่าพลังชีวิตของบุตรกลับหายไปอย่างรวดเร็ว เหมือนมีปากใหญ่น่าสะพรึงในเงามืดกำลังกัดกินพลังชีวิตของโอรสน้อย

เห็นองค์ชายสิบสามเสิ่นเทียนเหมือนจะกลายเป็นทารกตายแล้ว เสิ่นเซี่ยวจึงรีบใช้วิชาต่างๆ หวังจะช่วยบุตรชายกลับมา ทว่าทุกวิชาไม่เป็นผลแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นพระสนมหลานก็สำแดงวิชาลับ นางส่งแก่นโลหิตทั้งหมดผ่านสายสะดือเข้าไปในตัวบุตรชาย

สุดท้ายวิชาลับบังเกิดผล องค์ชายสิบสามเสิ่นเทียนฟื้นขึ้นมาอย่างยากลำบาก ทว่าพระสนมหลานที่เป็นที่เคารพรักของจักรพรรดิเหยียนและทุกคนสิ้นไปเพราะเหตุนี้

วันนั้นทำให้ทั้งอาณาจักรเศร้าโศก แม้แต่พระสนมจำนวนมากยังสะอื้นไห้

เมฆดำบนพระราชวังค่อยๆ สลายไป ทว่าเงามืดในใจจักรพรรดิเหยียนเสิ่นเซี่ยวกลับไม่อาจหายไป

เขาใช้โลงศพเหมันต์ลี้ลับที่มีค่าเท่าเมืองผนึกแช่แข็งศพของพระสนมหลานเอาไว้ ตลอดสิบปีมานี้จะไปไหว้หญิงอันเป็นที่รักของตน

ดังคำกล่าวว่า “แม้ใจพิสุทธิ์จะเป็นสนม จักรพรรดิเหยียนยังมิได้แต่งตั้งเป็นมเหสี”

บุพการีมีความรักแท้จริง เสิ่นเทียนไม่แปลกใจ

และเพราะแบบนี้เองทุกครั้งที่เห็นโอรสเสิ่นเทียน เสิ่นเซี่ยวจะถูกดึงให้นึกย้อนกลับไปด้วยความเสียใจ

สำหรับผู้แข็งแกร่งช่วงแก่นพลังทองแล้วมีโอสถลบความจำขั้นสามที่มีผลอยู่ ไม่รู้ว่ากินไปกี่เม็ดแล้ว

นานวันเข้า เสิ่นเซี่ยวก็ให้กุ้ยกงกงตามประกบปกป้ององค์ชายสิบสาม ส่วนตัวเขาค่อยๆ ถอยห่างออกมา ไม่ไปเยี่ยมเยือนตำหนักใจพิสุทธิ์บ่อยครั้งอีก

นี่คือการหนีอย่างหนึ่ง และก็เป็นการปกป้องกลายๆ

…….

เห็นบุตรชายตนคารวะแล้ว เพียงชั่วลมหายใจเดียว ภายในใจเสิ่นเซี่ยวมีความคิดมากมาย

หลานเอ๋อร์ เด็กที่ตอนนั้นเจ้าใช้ชีวิตแลกคืนมาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากเจ้าในแดนปรโลกรู้เข้า ดวงจิตบนสวรรค์จะต้องยิ้มร่าไปทั่วแดนปรโลกอย่างแน่นอน

เขาถอนหายใจว่า “เทียนเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไรกัน”

เสิ่นเทียนยิ้ม “ได้ยินว่าพี่หกจะเดินทางไปบำเพ็ญเซียนที่แดนเทวาดาวประกายพรึก ลูกเลยตั้งใจมาส่ง”

เสิ่นเอ้าข้างกายได้ยินดังนั้นในใจก็เต้นตึกๆ น้องสิบสามมาส่งด้วยตัวเอง

เกรงว่าเจ้าจะไม่ได้ส่งข้าไป แต่ส่งข้าไปตายล่ะสิ!

เสิ่นเอ้ากลัดกลุ้มในใจ เสิ่นเซี่ยวกลับค่อนข้างชื่นใจ “หายากนะที่พวกเจ้าพี่น้องจะรักใคร่กันเช่นนี้!

ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปนั่งกับเอ้าเอ๋อร์เถอะ อยู่ด้วยกันไป! นับจากวันนี้เอ้าเอ๋อร์จะไปขอฝึกบำเพ็ญเซียน เกรงว่าคงยากจะได้เจอกันบ่อยๆ แล้ว”

เสิ่นเอ้ามุมปากกระตุกเล็กน้อย ใครจะอยากอยู่กับเขากัน

เขากระแอมไอเสียงเบาว่า “ทูลเสด็จพ่อ กระหม่อมต้องไปต้อนรับแขกผู้มีเกียรติท่านอื่นๆ ก่อน! กระหม่อมว่าให้เขานั่งกับพี่รองดีกว่า!”

องค์ชายรองเสิ่นหลงข้างๆ กำลังดูสนุกๆ อยู่! จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นที่แผ่นหลัง

เขาจึงรีบกล่าว “อะแห่มๆ น้องหกกับน้องสิบสามรักกันจะตาย ให้อยู่ด้วยกันนั่นแหละ! พี่จะไปต้อนรับแขกแทนเจ้าเอง”

เสิ่นเทียนเห็นพี่รองตนเกรงใจเช่นนี้ จึงอดรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างยิ่งมิได้

“พี่รอง พี่หก ข้าเล็กสุด ให้ข้าไปต้อนรับพวกแขกเองดีกว่า!”

พูดจบ เสิ่นเทียนก็หมุนนตัวกลับมา เห็นเหล่าแขกที่ตอนแรกยังเดินไปเดินมาพากันนั่งลงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

พวกเขาก้มหน้าก้มตากินอาหารกันไม่พูดไม่จา ส่งเสริมประเพณีอันดีงามที่ไม่พูดคุยในเวลาทานอาหารกันอย่างเต็มที่

ซู้ด!

สมกับเป็นแขกผู้มีเกียรติของเสด็จพ่อที่มางานตำหนักไร้พรมแดนจริงๆ แต่ละคนมีอารยธรรมกันทั้งนั้น!

…………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน