“ เอาล่ะ รอให้น้าได้ปรึกษาและคุยรายละเอียดเรื่องต่างๆกับแม่ของหนูก่อน น้าก็จะส่งหนูกลับไปทันที ”
เวินหนิงยิ้มแล้วลูบหัวของไป๋ซินหรานไปมา ถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะต้องส่งกลับไปก็จริง แต่เธอจะต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้คนเหล่านั้นรู้ว่ากลั่นแกล้งเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ มิฉะนั้น เด็กอายุแค่ห้าขวบ จะต้องตามไปใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวของพ่อเลี้ยง เธอกลัวว่าจะไปลำบากและถูกทำร้าย
" ค่ะ หนูเข้าใจแล้วค่ะ "
ไป๋ซินหรานเป็นเด็กที่มีสติสัมปชัญญะไม่น้อย เธอรู้ว่าที่เวินหนิงทำไปทุกอย่างก็เพื่อหวังดีกับตัวเอง เธอจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เมื่อลู่อันหรานเห็นเช่นนี้ถึงได้ถอนหายใจออกมา
เวินหนิงอดส่ายหัวไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีของเขาเป็นแบบนี้ หลังจากนั้นไม่นาน เจียงซินเฉียวก็มาเยี่ยมหาไป๋ซินหรานอีกครั้ง เวินหนิงกับลู่อันหรานเดินออกไปเพื่อปล่อยให้สองแม่ลูกได้อยู่กันตามลำพัง
ตอนเดินออกไปลู่อันหรานไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ก้มหน้าแล้วใช้เท้าแตะไปที่พื้นเป็นครั้งคราว
เวินหนิงเห็นเช่นนี้ รู้สึกหมดหนทางทำอะไรไม่ถูก
“ อันหราน ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า อารมณ์ไม่ดีอีกแล้วเหรอ ลูกเดินแบบนี้ไม่กลัวจะล้มเหรอ”
“ คุณแม่ครับ ทำไมคุณแม่ถึงไปตอบตกลงรับปากซินหรานว่าจะให้เธอย้ายออกไปง่ายๆแบบนี้เหรอครับ ถ้าต่อจากนี้เธอยังถูกรังแกอีกจะทำอย่างไรดีครับ”
“ ซินหรานคิดถึงแม่ของเธอมาก ลูกเห็นไหมตอนที่เธอรู้ว่าแม่ของเธอมาเยี่ยม เธอมีความสุขแค่ไหน พวกเราไม่สามารถไปบังคับให้เธอทำในสิ่งที่เธอไม่อยากทำได้”
เวินหนิงรู้ว่าที่ลู่อันหรานมีอาการแบบนี้น่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้ชัวน์ๆ จึงยื่นมือออกไปบีบแก้มขาวๆอ้วนๆของลู่อันหราน " นอกจากนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเราจะหยุดการติดต่อกับเธอซะหน่อย ถ้าซินหรานถูกรังแกจริงๆ ลูกคิดว่าพวกเราจะนิ่งดูดายเหรอ "
“ งั้นโอเคครับ……”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลู่อันหรานถึงได้อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย
หลังจากมองดูเวลาแล้ว พอดีว่าใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ลู่อันหรานคิดอยู่พักหนึ่ง " คุณแม่ครับ พวกเราไปหาคุณพ่อกันเถอะครับ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีคนไปส่งอาหารให้คุณพ่อหรือยัง"
แม้ว่าฝั่งนู้นจะมีคนดูแลอยู่แล้วก็ตาม แต่เมื่อเวินหนิงได้ยินลู่อันหรานพูดแบบนี้ก็พยักหน้าตอบตกลง พอดีเลยว่ามีเรื่องอยากปรึกษากับเขาหน่อย
เมื่อเห็นว่าเวินหนิงไม่ได้ปฏิเสธลู่อันหรานรู้สึกมีความสุขเล็กน้อย ดูเหมือนว่าคุณพ่อกับคุณแม่พวกเขากลับมาคืนดีกันแล้วจริงๆ ซึ่งทำให้อารมณ์ที่หงุดหงิดของเขาเมื่อกี้ลดลงไม่น้อย
เวินหนิงกับลู่อันหรานให้คนไปส่งพวกเขาไปที่โรงพยาบาลที่ลู่จิ้นยวนอยู่
ทั้งสองคนไปซื้ออาหารของกินก่อนถึงได้ขึ้นไปชั้นบน
ลู่อันหรานกังวลว่าลู่จิ้นยวนอาจจะกำลังทำอะไรอยู่ แล้วจะบังเอิญจ๊ะเอ๋เข้า เลยจงใจพูดเสียงดังว่า " คุณแม่ครับ ไม่รู้ว่าคุณพ่อกำลังทำอะไรอยู่หนอ "
เมื่อเวินหนิงได้ยินเสียงที่ดังมากของลู่อันหราน สีหน้าของเธอดูจริงจังขึ้นมาทันที "อันหราน ที่นี่คือในโรงพยาบาล อย่าพูดเสียงดังขนาดนี้ เดียวมันจะเป็นการไปรบกวนคนอื่นเขา "
"คิก คิก แต่ชั้นนี้มีห้องผู้ป่วยของคุณพ่อเพียงห้องเดียว ผมไม่ได้ตั้งใจครับ ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ "
เพราะลู่อันหรานเล่นกลอุบายนิดหน่อย ดังนั้นเขาจึงเชื่อฟังทันที
เวินหนิงเห็นเขายอมรับความผิดอย่างรวดเร็ว จึงไม่ได้พูดอะไรมาก
เดิมทีลู่จิ้นยวนที่กำลังดูเอกสารอยู่ เมื่อได้ยินเสียงของลู่อันหรานดังมาจากข้างนอก เขาจึงรีบเก็บของเอกสารที่อยู่ในมือลงทันที
ถ้าโดนเวินหนิงมาเห็นเข้า กลัวว่าเธอจะต้องโกรธมากแน่ๆ
เวินหนิงกับลู่อันหรานเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าลู่จิ้นยวนกำลังนั่งดูทีวีอยู่บนเตียง เวินหนิงได้แต่ยักไหล่ อืม ...
รู้สึกว่ามันน้อยมากเลยที่จะได้เห็นลู่จิ้นยวนแบบนี้ โดยปกติแล้วเธอไม่เคยได้เห็นว่าผู้ชายคนนี้จะมีความชอบอะไรเป็นพิเศษในเวลาว่าง
" ฉันพาอันหรานมาดูอาการคุณหน่อย "
เวินหนิงเดินเข้าไปแล้ววางอาหารเหล่านั้นลงบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆเตียง จากนั้นจัดเก็บเอกสารที่วางไว้ข้างๆไปไว้อีกฝั่งหนึ่ง
เมื่อลู่อันหรานได้เห็นภาพนี้แล้วรู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้ อย่างไรก็ตาม ที่ตอนนี้คุณแม่ของเขายอมอยู่ที่นี่ต่อก็เพราะคุณพ่อของเขาได้รับบาดเจ็บ ถ้าให้เธอรู้ความจริงแล้วล่ะก็ ...
ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ... เฮ้อ ...
ในใจของลู่อันหรานเต็มไปด้วยครึ้มเครียด ดูเหมือนว่าผู้ใหญ่นั้นพูดถูก ถ้าพูดโกหกเรื่องหนึ่ง ต่อไปก็จะต้องพูดโกหกอีกเป็นร้อยเรื่องเพื่อปกปิดคำโกหกที่พูดไปให้สมบูรณ์แบบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงแค้นแสนรัก