บทที่ 646 ความเหินห่าง
มุมปากของโห้หลีเฉินปรากฏรอยยิ้มอันชัดเจน สายตาไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ตัวของเย้นโน่อยู่นาน พลางยื่นมือออกไปรับแก้วไวน์ทันที
เดิมทีการยื่นมือออกไปหยิบแก้วไวน์นั้นไม่ต้องมีการสัมผัสกันแต่อย่างใด แต่เย้นโน่จงใจพลิกมือไปด้านข้าง ก็เลยชนเข้ากับนิ้วของโห้หลีเฉิน
เธอเงยหน้าจ้องมองโห้หลีเฉิน แววตาทอประกายราวกับคลื่นดอกไม้
ช่างทำให้จิตใจคนเราหวั่นไหวตามเหลือเกิน
สีหน้าของโห้หลีเฉิน กลับเคร่งขรึมดิ่งลงทันที นัยน์ตาฉายประกายความขยะแขยงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เขาแทบไม่มีการลังเลแต่อย่างใด พร้อมทั้งดึงมือกลับทันที
อาการขยะแขยงที่แสดงออกมานั้น ไม่มีการเก็บงำไว้แม้แต่น้อย
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของเย้นโน่ ค้างเติ่งทันที
เธอมั่นใจว่าตนเองเป็นคนสวยมาตลอด เพราะไม่เคยมีชายใดที่เห็นเธอแล้วจะกลอกตาใส่ โดยทั่วไปจะอดจะไม่ไหวจนอยากจะกระโจนใส่เธอด้วยซ้ำ
ตั้งแต่เธอเกิดมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยประสบพบเจอกับเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย
เธอแปลกใจ พร้อมทั้งยิ่งอับอายขายหน้าเหลือเกิน
มือที่ถือแก้วไวน์อยู่นั้น ก็ค้างเติ่งอยู่ในอากาศอยู่อย่างนั้น ส่วนใบหน้าที่งดงามนั้นซีดเผือดน่าสงสาร
กงจืออวีเห็นเหตุการณ์เป็นไปตามนั้น ก็ไม่ได้ประหลาดใจไปสักเท่าไหร่ ซึ่งมันก็ยังอยู่ในสิ่งที่คาดการณ์ไว้
แม้ว่าเย้นโน่จะสวยงามมากขึ้น อาศัยความมุ่งมั่นของโห้หลีเฉิน แม้ว่าจะหวั่นไหวก็ตาม ก็จะไม่มีการแสดงออกมาต่อหน้าเธอเป็นอันขาด
แม้ว่าตอนนี้จะมองออกว่า ความสวยของเย้นโน่ไม่มีผลลัพธ์อะไรกับโห้หลีเฉินเลย
กงจืออวีฉีกยิ้ม ใบหน้าแสดงท่าทีอ่อนโยน
จากนั้นก็ยิ้มและพูดออกมา “ลืมแนะนำไป คนนี้เป็นพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเสี่ยวหว่านเย้นโน่ และก็เป็นลูกหลานของตระกูลเย้น เธอเป็นคนจิตใจกตัญญู มาดูแลฉันที่นี่ เลยช่วยยกไวน์มาเสิร์ฟ”
แต่ไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้ เลยเก้ ๆ กังๆ ไปมาก ทำไม่ได้ดีนายก็อย่าใส่ใจเลยนะ
ภายนอก เพื่อเป็นการแก้ตัวให้เย้นโน่น้ำขุ่นๆ ความจริงแล้ว เพื่อเป็นการบอกใบ้โห้หลีเฉินทราบถึงสถานะของเย้นโน่
ลูกหลานในตระกูลเย้น และในเวลาเดียวการยังมีสายเลือดที่สามารถแก้ไขโรคของตระกูลหยูได้
โห้หลีเฉินเลือกเธอ ก็จะสามารถรักษาโรคได้
สีหน้าของโห้หลีเฉินกลับมาเป็นปกติตามเดิม จากนั้นก็เม้มริมฝีปากแล้วพยักหน้าให้ “ที่แท้ก็เป็นพี่สาวนี่เอง ต่อไปต้องช่วยชี้แนะด้วย”
คำว่าพี่สาว พลันแยกความสัมพันธ์ของทั้งสองคนให้ห่างกันทันที
ใบหน้าของเย้นโน่ซีดเผือดหนักกว่าเก่าลงไปอีก
นี่มันไม่ใช่ว่าเธอดันพังราบเป็นหน้ากลองไปซะแล้ว เพิ่งจะลงมือแท้ แพ้ไม่เป็นท่าไปแล้วซะนี่
แต่ดีที่ว่าก่อนหน้านี้กงจืออวีได้ฉีดยาป้องกันให้เธอไว้ก่อนแล้ว การรับสภาพในใจของเธอนั้นก็ยังไม่ได้ปิดผนึกแน่นหนาแต่อย่างใด
เย้นโน่ปรับสภาพอารมณ์ที่อยู่ในใจของตนเอง พร้อมทั้งพูดและยิ้มให้อย่างอบอุ่น
“ฉันว่าฉันว่าจะอายุน้อยกว่าคุณอยู่เล็กน้อย เช่นนั้นคุณก็เรียกฉันว่าเย้นโน่ก็พอแล้วค่ะ หรือว่า จะเรียกว่าเสี่ยวโน่ก็ได้นะ”
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปากเอาไว้ แต่ปิดปากไม่ยอมพูดยอมจา
เพื่อรักษามารยาทเอาไว้ แต่เพื่อเป็นการไม่ไว้หน้าให้เย้นโน่มากนัก
ท่ามกลางความเงียบสงบ จนบรรยากาศมันเปลี่ยนไปจนเริ่มประดักประเดิดเล็กน้อย
สีหน้าของเย้นโน่ยิ่งดูไม่ได้มากกว่าเดิมเสียอีก
ทว่าในใจนั้น กลับมีกองไฟที่ไม่ประสงค์ดีเริ่มปะทุขึ้น ในโลกใบนี้ ไม่มีผู้ชายคนไหนที่เธอไม่สามารถจัดการได้
เธอกัดฟันทนเอาไว้ จากนั้นก็เดินมาหาโห้หลีเฉินให้ใกล้อีกนิด เพื่อจะได้เอาแก้วไวน์ยื่นให้ตรงด้านหน้าของโห้หลีเฉิน
“นี่คือไวน์ที่ฉันปรับรสชาติเองเลย คุณลองชิมรสชาติดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
โห้หลีเฉินกวาดตามองแก้วไวน์อยู่แวบหนึ่ง นิ้วมือที่ทาเล็บสีแดงสด กำลังถือแก้วไวน์อยู่
แววตาของเขาหม่นลงเล็กน้อย พร้อมทั้งน้ำเสียงไม่แยแส “วางไว้เถอะ”
เย้นโน่ยังคิดจะเขยิบเข้าหา พลันตัวแข็งทื่อทันที
บริเวณด้านหน้าเหมือนกับกำแพงกระจกใสแจ๋วที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอ ทั้งเย็นเฉียบทั้งเยือกเย็น จนทำให้เธอไม่กล้าเอาใบหน้าไปใกล้ชิดแม้สักนิดเดียว
ผู้ชายคนนี้ มองดูแล้วช่างเป็นคนอบอุ่นสง่าผ่าเผย ความจริงแล้วเป็นภูเขาน้ำแข็งที่ช่างอันตราย
มีดคมในฝักดีๆ นี่เอง
พร้อมทั้งพูดตรงไปตรงมา “คุณป้า คุณไม่จำเป็นต้องมาขอบคุณผมเรื่องใดอีก ไวน์แก้วนี้ ผมขอทำความเคารพคุณ เพื่อเป็นการขอโทษเพราะไม่สามารถตกลงกับสิ่งที่คุณ ขอร้องได้”
สีหน้าของเขาเคร่งขรึม แววตาจับจ้องไปทางกงจืออวี
นัยน์ตาไม่มีการแสดงถึงตัวตนการมีอยู่ของเย้นโน่สักนิด
เย้นโน่ถูกทิ้งให้แห้งเหี่ยวไม่มีตัวตนอยู่ด้านข้าง พริบตาเดียวก็กลายเป็นกระดานพื้นหลัง ขนาดจะแทรกภาพลงไปติดยังไม่มีเลย
โห้หลีเฉินพูดถึงเรื่องหลักไปแล้ว ถ้ามองสถานการณ์ออก ก็ควรจะต้องกลับแล้ว
ทว่าเธอ ไม่ได้มาแค่ส่งแก้วเหล้าให้แค่นั้น
เย้นโน่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม สีหน้าเก้อเขินมาก ไปไหนก็ไม่ได้ ไม่ออกไปก็ไม่ได้อีก
กงจืออวีขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย และจ้องมองเย้นโน่อย่างปวดใจเล็กน้อย
ถึงอย่างไรก็เป็นลูกสาวของตระกูลเย้นที่ถูกเลี้ยงอย่างเอาใจจนติดเป็นนิสัย การมาทำแบบนี้ให้โห้หลีเฉิน ถ้าต่อไปได้รับความเย็นชาแบบนี้ต่อไปเรื่อย แล้วใช้ชีวิตอยู่ไม่เป็นสุขขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นชะตากรรมอันเลวร้ายหรือไม่
แต่ว่า ในใจนั้นเริ่มหวั่นไหวชั่วขณะ
แววตาของกงจืออวีเริ่มเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่น แววตาดำดิ่งดั่งทะเลน้ำลึกจ้องมองแก้วเหล้าที่อยู่ในมือของโห้หลีเฉิน
ท่ามกลางความมืดหม่น พลันทอประกายออกมาอยู่แวบหนึ่ง
เธอหยิบแก้วเหล้าขึ้นมา พร้อมทั้งยกแก้วไปทางโห้หลีเฉิน จากนั้นก็มีเสียงชนแก้ว ดัง “เคล้ง”
“ฉันไม่โทษนายหรอก พวกเราต่างมีจุดยืนของแต่ละคน สุดท้ายแล้วผลลัพธ์มันจะเป็นเช่นไร ก็ต้องดูความสามารถของแต่ละคนแล้ว”
คำพูดดูผ่อนคลาย แต่เป็นการประกาศศึกสงคราม
จากนั้น เธอหยิบแก้วเหล้าขึ้น จากนั้นก็รินเหล้าที่อยู่ข้างในเข้าปากหมดแก้ว
โห้หลีเฉินจ้องมองท่าทางที่สบายใจของกงจืออวี พลันเม้มริมฝีปากบางไว้ แววตาจ้องมองเหล้าที่อยู่ในมือของตนเองด้วยความสับสนและดำดิ่ง
เขาบีบนิ้วมือที่ถือแก้วเหล้าอยู่ จนออกอาการเคร่งเครียดเล็กน้อย
ความลังเลสงสัยนั้นเป็นเวลาแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้นเอง แต่สายตาของโห้หลีเฉินนั้นไม่มีการแสดงท่าทางผิดปกติออกมาสักนิด
เขาหยิบแก้วเหล้าขึ้นมา จากนั้นก็ดื่มเหล้าที่อยู่ในแก้วอย่างสงบ
กงจืออวีจ้องมองแก้วเปล่าของโห้หลีเฉิน แววตาทอประกาย ในนั้นมีความรู้สึกละอายใจและมีความผ่อนคลายเล็กน้อย…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน
อืดอาด มีเรื่องคู่นั้นคู่นี้แทรกมาตลอด แล้วยังออกทะเลไปไม่รู้กี่รอบ วนอยู่แต่กับความโง่ของนางเอกและความปิดปังเพราะรักของพระเอก เฮ้อ ทนอ่านมาเพราะอยากรู้ตอนจบ แต่หงุดหงิกมาก...
ฝึกฝนตัวเองหาทางช่วยสามีมันก็ดี แต่ถึงขนาดทิ้งลูกให้คนอื่นดูแลนี่ไม่ไหว เลี้ยงเด็กยังไงให้เป็นแบบนี้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมเป็นภาระ ใช้ชีวิตโง่ ๆ มีศัตรูอยู่ แต่ไม่พาการ็ดไปด้วย พอลูกมีปัญหาที่รร. แทนที่จะเรียกสามี มาช่วยตั้งแต่แรก เสือกจะสู้เอง...
นางเอกอ้อนแอแถมโง่ แต่ก็ไม่ฟังพระเอก เสือกวิ่งไปวิ่งมาให้ถูกคนทำร้าย อ่านแล้วรำคาญ...
นางเอกโง่เง่าไม่มีการพัฒนา...
ทำไมไม่บอกพระเอกแล้วให้จัดการกับนังนั่น...
โอน่อหยาก็รู้นี่นาว่านางเอกเป็นคู่หมั้นประธาน ทำไมยังกล้าใส่ร้ายหรือแปลกใจว่านางเอกยังมีคนหนุน...
เนื้อเรื่องยืดยาวววน่าเบื่อมาก วนไปมาไม่เข้าเรื่องสักทีอ่านจนไม่อยากอ่านต่อน่าเบื่อเกิน ไม่เข้าเรื่องพระเอกกับนางเอกสักที วนอยู่ที่เดิมจนไม่น่าติดตามเพราะน่าเบื่อ...