สรุปตอน บทที่ 542 เข้าแถวขอขมา – จากเรื่อง จอมนักรบทรงเกียรติยศ โดย โซ่วปี่หนานซาน
ตอน บทที่ 542 เข้าแถวขอขมา ของนิยายใช้ชีวิตเรื่องดัง จอมนักรบทรงเกียรติยศ โดยนักเขียน โซ่วปี่หนานซาน เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ฟางเหยียนทำให้ร่างของเจ้าสามหยางแนบอยู่กับพื้น เพื่อเป็นการดูดซับไอดิน ปกป้องภาวะร่างกายเปิดโล่ง ผืนดินเป็นแร่ธาตุของสรรพสิ่ง เพิ่มพูนพลังวิญญาณ ใช้ไอธรรมชาติจากผืนดินบำรุงร่างกายเขา ย่อมจะดีกว่าสิ่งใด
ส่วนยันต์สองแผ่นนั้น ก็แค่ไม่ให้สามจิตเจ็ดวิญญาณของเขาหนีไปไหนวุ่นวาย
ส่วนเกลือน่ะหรือ อันที่จริงไม่ใช่เพื่อฆ่าเชื้อโรค แต่ใช้เพื่อกระตุ้นเจ้าสามหยางอย่างเมื่อสักครู่ เขากลัวว่าเจ้าสามหยางจะไม่ได้รับสัญญาณ ทำให้วิญญาณออกจากร่างไปก่อน ดังนั้นจึงใช้เกลือมากระตุ้นร่างกายเขาไว้ ทำให้วิญญาณเขายังคงอยู่
เวลานี้เอง ได้มีลำแสงสีทองแผ่ออกมาจากสองด้านของร่างกายเจ้าสามหยาง นั่นคือลำแสงที่ส่องออกมาจากยันต์ที่ฟางเหยียนวาด
ลำแสงสีทองสายนี้ไม่ใช่มีเพียงแค่ฟางเหยียนที่มองเห็น ทุกคนภายในห้องล้วนมองเห็นกันหมด นี่คือภาพปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์ภาพหนึ่ง ทุกคนที่อยู่ภายในห้องต่างไม่เคยพบเห็นเรื่องประหลาดเช่นนี้มาก่อน ทุกคนต่างรู้จักซีจีในภาพยนตร์ แต่นี่ไม่ใช่ซีจี ที่เกิดอยู่ตรงหน้าทุกคนคือความจริง
สำหรับหลินอีอีที่ไม่เคยพบเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน จึงสั่นสะเทือนจิตใจเป็นที่สุด เธอทนไม่ไหวปิดปากอุทานออกมาอย่างแปลกใจ
แม้ว่าเมื่อก่อนเธอจะเคยเห็นภาพเช่นเดียวกันนี้อยู่ในหนัง แต่พอมาเจอเรื่องจริง เธอยังคงเบิกตากว้างอย่างอดรนทนไม่ไหว ในดวงตาของเธอล้วนเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่มีต่อฟางเหยียน คนผู้นี้ที่แท้แล้วทำได้อย่างไรกัน ทำไมเขาถึงทำเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้ได้! นี่มันขัดกับหลักการทั่วไป ไม่สอดคล้องกับหลักทางวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิง
ทว่า นี่คือฟางเหยียนไงล่ะ คนที่ออกมาจากอารามเต๋า จะมีหลักการหรือไม่หลักการที่ไหนกัน
ซึ่งในเวลานี้เอง ฟางเหยียนก็พ่นคำสองคำออกมาด้วยท่าทางปลอดโปร่งว่า “เสร็จแล้ว!”
ได้ยินสองคำนี้ หมอหลินก็ก้าวเท้าเดินไปทางเจ้าสามหยางเป็นคนแรก เพิ่งเดินเข้าไปใกล้ จู่ๆ เจ้าสามหยางก็ส่งเสียงไอหนักๆ ออกมา การไอครั้งนี้ได้สั่นสะเทือนจิตใจผู้คนนับไม่ถ้วนอีกครั้ง
หมอหลินโอบอุ้มท่าทางสงสัยเดินมายังข้างกายเจ้าสามหยาง ยกมือขึ้นมาจับชีพจรของเจ้าสามหยางอยู่ชั่วครู่ ชีพจรถึงกับกลับมาเต้นอีกครั้งแล้ว! นี่ทำให้หมอหลินอดเบิกตากว้างไม่ได้ หากเรื่องนี้ไม่ใช่เขาประสบด้วยตัวเอง เขาคงไม่มีทางเชื่อ เพราะนี่มันขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ เวลานี้ มือของเจ้าสามหยางขยับเล็กน้อยบ้างแล้ว ปากก็ส่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
ฟางเหยียนกวาดตามองคนตระกูลหยางรอบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ยังไม่พยุงเขาขึ้นมาอีก?”
“ครับๆๆ!” คนตระกูลหยางรีบเดินขึ้นหน้าไปพยุงเจ้าสามหยางขึ้นมาทันที พยุงจากพื้นมายังเตียง และตรงที่เจ้าสามหยางเคยนอนเมื่อกี้ ที่บนพื้นได้ทิ้งน้ำเลือดสีดำไว้กองหนึ่ง นั่นคือพิษที่ขับออกมาจากร่างกายเขา
หลังเจ้าสามหยางขึ้นไปนอนบนเตียง หมอหลินก็จับชีพจรให้เขาอีกครั้ง ไม่จับก็ไม่กังวล แต่พอจับทำเอาเขาตกใจจนสะดุ้งวาบ พิษ ถึงกับหายไปหมดแล้ว! พิษที่ดูราวกับจะไม่มียาแก้พิษเมื่อกี้ ถึงกับถูกขจัดไปหมดแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง? หมอหลิน!” เจ้าสามหยางเห็นสีหน้าตกใจนั้นของหมอหลิน จึงถามด้วยความกังวล
หมอหลินกลืนน้ำลายอย่างแรง โคลงศีรษะไปมาพลางกล่าวว่า “เหลือเชื่อ ช่างเหลือเชื่อโดยแท้! แก้ได้แล้ว พิษนี้ถึงกับแก้ได้แล้ว”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนสงบใจลงได้อย่างไม่ต้องสงสัย คนทั้งตระกูลหยางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หยางจิ่งเซียนเดินมาหยุดตรงหน้าฟางเหยียน ประสานมือคำนับแล้วกล่าวว่า “ขอบพระคุณคุณฟางที่ยื่นมือช่วยเหลือ! บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของคุณฟาง กระผมผู้แซ่หยางทั้งชาติก็ยากจะลืม ต่อไป หากคุณฟางขาดเหลือสิ่งใด ก็สั่งมาได้เลย”
“คุณฟาง ผมรู้สึกเสียใจกับการกระทำอันขาดเขลาของตัวเองเมื่อกี้เหลือเกิน! ผมแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของน้องสามมากเกินไป ขอโทษด้วย คุณฟาง” เจ้าใหญ่หยางก็เดินมาหยุดตรงหน้าฟางเหยียนเช่นกัน พร้อมกับกุมหมัดค้อมเอวต่อหน้าเขา
แน่นอนว่า เขาไม่พูด คนตระกูลหยางก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องนี้เช่นกัน อย่างไรก็ล้วนทำไปเพื่อช่วยคนตระกูลหยาง แรกเริ่มทุกคนล้วนมีเจตนาดี ที่ทำไปก็เพื่อรักษาเจ้าสามหยาง
ที่หมอหลินหวาดกลัวอย่างเดียวก็คือเจ้าหนุ่มคนนั้นจะเป็นฝ่ายเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน หากเป็นเช่นนี้ ใบหน้าเหี่ยวๆ ของตนคงจะแบกรับไม่ไหวจริงๆ คุกเข่าตนก็ทนเสียใบหน้าเหี่ยวๆ นี่ไม่ลง หากไม่คุกเข่าล่ะ ต่อไปผู้อื่นจะมองเขายังไง ที่นี่เป็นในบ้านของหยางจิ่งเซียน ด้วยบารมีของหยางจิ่งเซียน หากตนพูดไม่เป็นคำพูด อย่างนั้นต่อไปเขาคงจะรู้สึกผิดเวลาเผชิญหน้ากับคนตระกูลหยาง
ทว่า หากให้คุกเข่าจริง ตนก็สามารถหาข้ออ้างมาเลี่ยงได้ แต่ทางที่ดียังคงอย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้จะดีกว่า หากพูดขึ้นมาจริง ทุกคนคงไม่ผ่านไปได้ด้วยดี ถึงเวลาคนที่ยากจะมองที่สุดแน่นอนว่ายังมีตนเอง
สำหรับเรื่องนี้คนตระกูลหยางไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาล้วนจมอยู่ในความดีใจที่เจ้าสามหยางฟื้นขึ้นมาได้ ส่วนฟางเหยียนก็ไม่ได้ถือสาเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง เขาไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแบบนั้น
ตกเย็น หยางจิ่งเซียนจัดงานเลี้ยงใหญ่โตที่บ้านเพื่อต้อนรับฟางเหยียนกับหมอหลิน ลูกๆ ของเขาตอนแรกอยากจะมาหาฟางเหยียนเพื่อพูดคุยสนทนากัน แต่เพราะเรื่องนี้ของเจ้าสามหยาง ทุกคนจึงสนับสนุนเป็นพิเศษให้ฟางเหยียนกับฉินเข่อคบหากัน แม้แต่หยางซงที่อยู่กับฉินเข่อมาตั้งแต่เด็กก็เห็นด้วยแล้ว ส่วนพี่ชายอีกหกคนก็ไม่มีใครคัดค้านสักคน
ซึ่งตัวฟางเหยียนนั้น แม้อายุจะพอๆ กับหยางซง แต่เพราะอยู่กับหยางจิ่งเซียนมาตลอด เหมือนว่าลืมอายุไปแล้ว เขาแม้แต่ฉินเข่อก็ไม่ได้มองมากกว่าแวบหนึ่ง ราวกับว่าความสัมพันธ์ของเขากับฉินเข่อไม่ได้ลึกซึ้งอะไรขนาดนั้น
มองไปที่ฟางเหยียน ในสายตาของฉินเข่อล้วนเต็มไปด้วยความชื่นชม เธอเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าคนผู้นี้จะช่วยเหลือตระกูลหยางได้ถึงขนาดนี้
ซึ่งแม้ปู่หลานตระกูลหลินสองคนนั่นจะอยู่ในนั้นด้วย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาตลอดทาง ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไร้ตัวตนอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะหยางจิ่งเซียนทักทายคนทั้งสองอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทุกคนก็คงลืมการมีอยู่ของปู่หลานคู่นี้ไปแล้ว
เวลาที่ทุกคนกินข้าวก็กินได้อย่างมีความสุขยิ่ง จู่ๆ เจ้าใหญ่หยางก็ยืนขึ้นมา กล่าวกับหยางจิ่งเซียนว่า “พ่อ ผมมีบางอย่างจะเสนอ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบทรงเกียรติยศ