ตอน บทที่ 586 ฉันทำเอง จาก จอมนักรบทรงเกียรติยศ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 586 ฉันทำเอง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายใช้ชีวิต จอมนักรบทรงเกียรติยศ ที่เขียนโดย โซ่วปี่หนานซาน เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
นี่เรียกว่าอะไร? โรยเกลือบนบาดแผลของผู้คนงั้นหรือ?
เห็นอยู่ชัดๆว่าฉู่หยางอายุปูนนี้แล้ว อวัยวะบนตัวของเขาเสื่อมสภาพไปตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะมาสู้กับคนหนุ่มสาวได้ ติงห้าวไม่ได้ปลอบโยนหรือเห็นอกเห็นใจอะไรฉู่หยางก็แล้วไปแต่นี่ถึงกับยังกล้าเอ่ยพูดจาประชดประชันออกมา นี่เห็นได้ชัดว่าเนื้อแท้แล้วก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่
ติงห้าวแต่เดิมก็ไม่ใช่คนเจียมเนื้อเจียมตัวอะไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ต่างประเทศหรือในประเทศ เขาล้วนชอบอวดความสำเร็จของตนเองไปทั่ว หากไม่ใช่เพราะความขี้อวดนี้ เขาก็คงไม่ออกมาเล่นเปียโนในงานแต่งงานแบบนี้ ซ้ำแต่ละประโยคและแต่ละคำล้วนไม่พ้นจังหวะของเสียงดนตรี ทำราวกับตัวเองเป็นเหมือนผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี
เมื่อได้ยินฉู่หยางบอกว่าเปียโนไม่ได้เรื่อง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่พอใจ เขารู้สึกว่าตนเองถูกดูหมิ่น ชายชราคนนี้กำลังดูถูกเขา ดังนั้นเขาจึงต้องการท้าทายชายชราและทำให้ชายชรารู้ว่าเป็นเขาต่างหากที่ไม่ได้เรื่อง
เย่ชิงหยู่ขมวดคิ้วและพูดว่า "ติงห้าวคนนี้ ช่างเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเสียจริง! ในเวลาแบบนี้แล้ว ยังไม่ยอมก้มหัวอีกหรือไง? การยอมรับเครื่องดนตรีประเทศหวามันยากมากหรือไง? ชายชราผู้นี้แต่เดิมแค่ต้องการปลุกหัวใจของคนหนุ่มสาว ให้ทุกคนได้เห็นมรดกทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของประเทศหวาที่มีมานานกว่า 5,000 ปี แล้วทำไมคนที่ดูท่าทางมีการศึกษาเหล่านี้กลับไม่เข้าใจกัน? ลองฟังที่คนพวกนี้พูดเข้าสิ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป จะทำร้ายจิตใจของชายชรามากขนาดไหนกัน!”
“ถ้าฉันเล่นขลุ่ยไม้ไผ่ได้ ฉันจะขึ้นไปสั่งสอนติงห้าวนั่นแน่! เขาเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเกินไป! ไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโส ดูท่าที่เขาไปเรียนต่างประเทศคงเรียนจนไม่เหลืออะไรแล้ว แม้กระทั่งประเพณีประเทศหวาเคารพผู้อาวุโสและรักเมตตาเด็กก็ยังลืมไปแล้ว?”
ก่อนที่เย่ชิงหยู่จะพูดแบบนี้ ฟางเหยียนยังคิดว่าเธอไม่เข้าใจ! แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเย่ชิงหยู่จะเป็นผู้หญิงที่ดูสถานการณ์ออก เขาดีใจอย่างมากที่เย่ชิงหยู่สามารถพูดคำเหล่านี้ออกมา เนื่องจากถ้าเย่ชิงหยู่พูดแบบนี้แล้ว เขายังมีอะไรต้องลังเลอีก
ดังนั้นเขาจึงพูดกับเย่ชิงหยู่อย่างสบายๆว่า "ฉันไปลองๆดูสักหน่อยแล้วกัน! บังเอิญ ที่ฉันสามารถเล่นเพลงนี้ได้พอดี"
"หา!" เย่ชิงหยู่มองไปที่ฟางเหยียนและกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ
“คุณเล่นได้จริงหรือ?” เธอไม่รู้จริงๆ ว่า ฟางเหยียนสามารถเล่นขลุ่ยไม้ไผ่ได้
ฟางเหยียนตอบรับและเอ่ยขึ้น “ใช่! เคยเรียนมาก่อนแล้ว"
ฉู่หยางที่อยู่บนเวทีได้ยินคำพูดของติงห้าว ก็หยิบขลุ่ยไม้ไผ่แล้วพูดว่า "ฉันยังเล่นไม่จบ เมื่อกี้แค่หายใจไม่ทัน!"
ติงห้าวหัวเราะหึหึและเอ่ยว่า “หายใจไม่ทัน? ต่อหน้างานใหญ่จริงๆ เช่นในงานคอนเสิร์ตระดับนานาชาตินั้นไม่อนุญาตให้มีการหยุดชั่วคราวได้ ถ้าหากเกิดขึ้นก็ถือว่าน่าอับอายอย่างมาก มีคนดังมากมายดูอยู่ข้างล่าง คงจะให้หยุดไปชั่วครู่คงทำไม่ได้หรอก! พวกเราทุกคนล้วนเป็นนักดนตรี ผมว่าคุณน่าจะเข้าใจความจริงนี้ แต่คุณแก่แล้ว พวกเราก็สามารถเข้าใจได้ พวกเราจะฟังคุณอีกสักครั้งแล้วกัน! ทุกคนปรบมือ ให้กำลังใจท่านฉู่สักหน่อย "
พฤติกรรมและการกระทำดังกล่าวทำให้เขายิ่งดูหมิ่นฉู่หยางมากขึ้น ฉู่หยางสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ระบายความคับข้องใจทั้งหมดออกมา บทเพลงนี้ ต่อให้เขาจะต้องเป่าจนหมดลมหายใจไป เขาก็จะต้องเป่ามันให้ได้”
แต่ก่อนที่เขาจะได้เป่ามัน ฟางเหยียนก็เดินไปตามฝูงชนทีละก้าวแล้วตะโกนว่า "ให้ผมทำเถอะ!"
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที ทุกคนล้วนทยอยหันกลับมามองที่ฟางเหยียนกัน
"ผู้ชายคนนี้เป็นใคร?" ที่เวทีด้านล่างมีหลายคนถามขึ้น
ฟางเหยียนไม่สนใจใคร เขาเดินตรงไปที่เวทีด้านบน พิธีกรคนนั้นถามว่า "คุณเป็นใครกัน?"
ยังไม่ทันที่ฟางเหยียนจะเอ่ยตอบ ติงห้าวก็ยกมือขึ้นตัดบทเขาและเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร!"
พิธีกรพูดไม่ออกไปในทันที แต่เดิมนี่เป็นงานซ้อมงานแต่งงานที่ถูกวางแผนมาดีๆ แต่ตอนนี้ดันกลายมาเป็นแบบนี้ไปแล้ว ตนเองก็หมดหนทางที่จะดำเนินการตามแผนต่อไป
ฟางเหยียนพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า "ใช่ โปรดเชื่อในตัวฉัน!"
ฉู่หยางแก่แล้ว เขาเป่าดึงดูดผีเสื้อไม่ไหว บางทีเขาอาจจะต้องเชื่อใจชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้เท่านั้น ในเวลานี้ฉู่หยางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อใจเขา เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองยังมีตัวเลือกอะไรเหลืออีก!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็มองไปที่ฟางเหยียนด้วยท่าทางเคร่งขรึมที่สุด จากนั้นก็ถอนหายใจและกล่าวว่า "ตกลง ฉันเชื่อคุณ!"
คำพูดนี้พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าหากเขายังเล่นได้จริง เขาไม่มีวันปล่อยให้เด็กหนุ่มคนนี้ได้ลองแน่ นี่เป็นเวลาที่จะปกป้องท่วงทำนองดนตรีของประเทศหวา ถ้าหากชายหนุ่มคนนี้ทำมันสำเร็จ นี่ก็คงจะเป็นมรดกสืบทอดออกไปที่ดีอย่างยิ่ง
ฉู่หยางมองไปที่ขลุ่ยไม้ไผ่ในมือของเขา จากนั้นก็ยกมือขึ้นและแตะตั้งแต่ขอบด้านบนจรดล่างของขลุ่ยไม้ไผ่ ใบหน้าดูลังเลตัดใจไม่ได้อยู่บ้าง ราวกับว่าตนเองกำลังต้องแยกจากลูกชายของตน
หลังจากทำเช่นนี้ เขาก็ค่อยยื่นขลุ่ยไม้ไผ่ให้ฟางเหยียนและพูดว่า “น้องชาย ฉันเชื่อนาย!”
นี่เป็นเพราะจนใจแล้วจริงๆถึงได้ทำเช่นนี้ ฉู่หยางไม่ใช่คนที่เชื่อใจผู้อื่นได้ง่ายๆ โดยเฉพาะขลุ่ยไม้ไผ่นี้ เขาถือว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า ไม่เคยปล่อยให้มันถูกใครแตะต้องแม้แต่น้อย แม้กระทั่งลูกชายและหลานชายของเขา ก็ล้วนไม่เคยปล่อยให้พวกเขาแตะต้องมัน
แต่วันนี้ เขาต้องมอบมันให้กับชายหนุ่มคนนี้แล้ว
นี่คือความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ กล่าวโดยสรุปก็คือ คนคนนี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่น่าเชื่อถือ
ฟางเหยียนยกมือขึ้นและรับขลุ่ยไม้ไผ่ไป เขาหยิบมันไว้ในมือแล้วประเมินดู จากนั้นก็วางขลุ่ยไม้ไผ่ไว้ที่มุมปาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบทรงเกียรติยศ