ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ส่องแสงสีแดงไปยังหมู่บ้านวัดหรานเติง
ในช่วงฤดูร้อน ทุ่งกลางหุบเขาไหวเป็นคลื่นสีเขียว เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามดั่งภาพวาดชวนให้ผู้คนหลงใหล
เด็กหนุ่มคิ้วเข้ม ตาโต รูปร่างผอมบาง ในปากคาบดอกหญ้าหนึ่งกิ่ง เดินฮัมเพลงออกมาจากโรงฆ่าสัตว์แห่งหนึ่งในหมู่บ้าน หลังจากเพิ่งเชือดหมูมาหมาดๆ บนกายจึงชุ่มไปด้วยเลือด ตะกร้าสานในมือมีตับหมูวางอยู่
เด็กหนุ่มมีนามว่าหลี่มู่ ปีนี้อายุสิบสี่ปี
ในเดือนเจ็ดปีนี้ หลี่มู่เพิ่งจบการศึกษาชั้นมัธยมต้นโดยได้คะแนนสูงสุดจากคนทั้งโรงเรียน
หลี่มู่เป็นเด็กกำพร้าไร้พ่อแม่ ตั้งแต่เล็กได้รับการเลี้ยงดูจากวัดหรานเติงอันเก่าแก่ ทั้งวัดหรานเติงมีผู้ดูแลแค่คนเดียว แต่ผู้ดูแลที่ว่านี้กลับไม่ใช่หลวงจีน แต่เป็นซินแสเฒ่าผู้หนึ่งในหมู่บ้าน
หนึ่งผู้เฒ่าหนึ่งผู้เยาว์ อาศัยอยู่ร่วมกันในวัดเก่าๆ และทรุดโทรมแห่งนี้
ในตอนที่ไม่มีเรียน หลี่มู่จะอยู่ในวัดหรานเติงอันเก่าแก่ ดื่มน้ำจากแหล่งน้ำในหุบเขา ดูแลพระพุทธรูปโบราณ เพราะซินแสเฒ่าเป็นที่เคารพในหมู่บ้านวัดหรานเติง อีกทั้งยามที่หลี่มู่หัวเราะด้วยคิ้วที่เข้มและตากลมโตทำให้ดูน่าเอ็นดู จึงเป็นที่ยอมรับของผู้คนในหมู่บ้าน ตั้งแต่เล็กก็ได้รับแบ่งปันน้ำและอาหารจากเพื่อนบ้านโดยรอบ เรียกได้ว่าโตมาด้วยข้าวร้อยมื้อ สวมเสื้อร้อยชิ้น[1]
ตั้งแต่อายุสิบปีเป็นต้นมา ช่วงวันหยุดฤดูร้อนและฤดูหนาว คุณลุงซินแซผู้นั้นก็ไล่ให้หลี่มู่ไปทำงานเป็นคนเชือดหมูในโรงฆ่าสัตว์ จนถึงวันนี้เขาทำงานนี้มาสี่ปีแล้ว
ซินแสเฒ่าต้องการปลูกฝังให้หลี่มู่มีรังสีแห่งการฆ่าฟัน
‘ผมเป็นแค่นักเรียนชั้นม.ต้น จะมีรังสีการฆ่าฟันไปทำไมกัน และยังเรื่องฆ่าหมูเพื่อสร้างกลิ่นอายนักฆ่าอีก ถ้างั้นคุณลุงนักเชือดหมูคงกลายเป็นนักฆ่าในตำนานไปแล้วละมั้ง ซินแสเฒ่าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ’
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หลี่มู่รู้สึกโมโหขึ้นมาเล็กๆ
สี่ปีมานี้เขาเชือดหมูไม่ต่ำกว่าร้อยตัว หลี่มู่รู้สึกว่ามือทั้งสองของเขาเปื้อนไปด้วยเลือด รู้สึกว่าตนนั้นโหดร้าย
“โฮ่ง โฮ่ง… โฮ่ง”
เป็นเจ้าสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ขนสีขาวดำ ดวงตาสอง สี ดูแข็งแรงมีชีวิตชีวาและกระปรี้กระเปร่าเดินตามเขาอยู่ด้านหลัง
เมื่อสามปีก่อนหลี่มู่เก็บเจ้าสุนัขตัวนี้จากหน้าประตูโรงเรียน ในตอนนั้นมันเป็นแค่ลูกหมาอายุเพียงไม่กี่เดือน ถูกทอดทิ้งตัวผอมโซ เกือบจะอดตายไปแล้ว
หลี่มู่พามันมาที่วัดหรานเติงอันเก่าแก่ เลี้ยงมันมาจนถึงทุกวันนี้
ในสามปี เจ้าไซบีเรียนฮัสกี้ตัวนี้โตมาอย่างแข็งแรงและอ้วนท้วนสมบูรณ์ โครงกระดูกที่สูงและใหญ่ของมันทำให้มันดูเหมือนกับลูกวัวก็ไม่ปาน และตอนนี้กลายเป็นภัยพิบัติในหมู่บ้าน มันเป็นจ่าฝูงของสุนัขเลี้ยงและสุนัขป่ากว่าหกสิบตัวในหมู่บ้านวัดหรานเติง ปกติมันชอบรวมตัวกันวิ่งไปในหมู่บ้าน เห่าหอนอย่างภาคภูมิในพงไพร ไล่เป็ดไล่ไก่ของคนในหมู่บ้านจนขนปลิวว่อนเต็มฟ้า หากไม่ใช่เพราะหลี่มู่และซินแสเฒ่ามีความสัมพันธ์อันดีกับคนในหมู่บ้าน คิดว่าเจ้าสุนัขอ้วนท้วนสมบูรณ์ตัวนี้คงถูกคนในหมู่บ้านที่ต่างไม่พอใจมันจับมันทำสุนัขตุ๋นไปแล้ว
ดังนั้นหลี่มู่จึงเรียกมันว่านายพล
นายพลในมวลหมู่สุนัข
“โฮ่งๆ” เจ้าแม่ทัพจ้องตับหมูสดๆ ที่อยู่ในตะกร้าสานบนมือของหลี่มู่ น้ำลายก็หยดติ๋งๆ มันส่งเสียงเห่าอย่างคุ้นเคย แล้วกระโดดไปมาตามหลี่มู่ด้วยความร่าเริง
จากโรงฆ่าสัตว์ถึงวัดโบราณหลังเขาใช้เวลากว่ายี่สิบนาที
ขณะเดิน พระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าส่องแสงสีทองเป็นทิวทัศน์ที่งดงามไร้ที่ติ
เมื่อพบกับผู้คนที่ทำเกษตรกลับมา หลี่มู่ก็ทักทายอย่างกระตือรือร้น
คุณลุง คุณป้าในหมู่บ้านเหล่านี้ดีต่อหลี่มู่มาโดยตลอดตั้งแต่เขาเล็กๆ เปรียบเหมือนคนในครอบครัว อาหารของแต่ละบ้านหลี่มู่ได้ลิ้มลองมาหมดแล้ว หัวใจของหลี่มู่เต็มไปด้วยความกตัญญูต่อชาวบ้านที่เรียบง่ายและแสนใจดีเหล่านี้
พวกชาวบ้านเองก็ชอบหลี่มู่มาก จึงส่งยิ้มกลับมา
หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน
เมื่อมองเห็นหลี่มู่และเจ้านายพล หนึ่งคนหนึ่งสุนัขหายไปบนเส้นทางภูเขาที่ห่างไกลก็มีคนส่ายหัวและถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ น่าเสียดาย เจ้าหลี่มู่เรียนก็ดีแถมเป็นเด็กร่าเริง ตอนสอบก็ได้ที่หนึ่งในโรงเรียน เป็นเด็กที่เรียนเก่งที่สุดในหมู่บ้าน ไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์หลี่ถึงไม่ยอมให้เขาเรียนชั้นม.ปลายต่อ”
“นั่นสิ ได้ยินว่าอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนชั้นม.ปลายที่ดีที่สุดในเมืองมาวัดหรานเติงด้วยตัวเอง อยากให้เด็กคนนี้เรียนโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน แล้วยังให้เข้าห้องอวี่หลินแถมมีค่าใช้จ่ายรายเดือนให้ แต่ก็ถูกอาจารย์หลี่ปฏิเสธ”
“คิดว่าอาจารย์คงอยากให้เด็กคนนี้สืบทอดวิชาต่อจากเขาละมั้ง”
“ในยุคสมัยนี้ วิชาการดูฮวงจุ้ยหย่างเซิง (การดูแลสุขภาพด้วยการกิน) การไล่ผี การจับผี ของอาจารย์หลี่มีประโยชน์อะไร คงไม่ใช่ให้เจ้าหลี่มู่พึ่งวิชาขับผีไล่ปีศาจหรอกนะ ก็จริงอยู่ที่อาจารย์หลี่มีความสามารถเป็นที่ประจักษ์ แต่ได้ยินว่ามีอาการป่วยทางจิต บางครั้งเวลาอาการกำเริบก็ดูน่ากลัวมาก สงสารแต่เจ้าหลี่มู่ที่ต้องคอยดูแลอย่างระวัง”
ชาวบ้านที่พูดคุยกันอยู่ล้วนเสียดายแทนหลี่มู่
……….
“ผู้เฒ่า ผมกลับมาแล้ว”
หลี่มู่เดินเข้าประตูวัดแล้วทักทายเสียงดัง
ห้องทำสมาธิที่อยู่ทางสวนด้านหลังไม่มีเสียงขานกลับจากซินแสเฒ่าตามปกติ
หลี่มู่ไม่วางเฉย เขาเตะเจ้านายพลเพื่อบอกให้มันไปเล่นก่อน หลังจากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปทางห้องครัว
ในวัดมีเขากับซินแสเฒ่าแค่เพียงสองคน พื้นที่นี้จึงเงียบสงบ
หลี่มู่วิ่งเหยาะๆ กลับไปที่วัดเก่าแก่หรานเติง ในเวลานี้เขามีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย หลังจากที่เขามาถึงห้องครัวก็ซ่อนตับหมูไว้ในโอ่งเพื่อไม่ให้เจ้านายพลมาแอบเอาไปกิน จากนั้นจึงตักน้ำจากบ่อน้ำที่ตั้งอยู่ข้างประตูครัวแล้วดื่มน้ำเย็นดังอึกๆ
โยนกระบวยทิ้งแล้ว หลี่มู่ก็เริ่มฝึกกำลังวิชายุทธ์ตรงที่ว่างในวัดตามที่กระทำเป็นปกติ
หมัดคือหมัดยุทธ์แท้
พลังคือพลังก่อนกำเนิด
นามนั้นช่างน่าหวั่นเกรง
เป็นซินแสเฒ่าที่สืบทอดสองสิ่งนี้ให้หลี่มู่
เมื่อตอนยังเล็กตั้งแต่เพิ่งเริ่มหัดเดิน ซินแสเฒ่าก็สอนสองอย่างนี้ให้เขาแล้ว หมัดยุทธ์แท้เป็นหนึ่งในเส้นทางแห่งศิลปะการต่อสู้ ส่วนพลังก่อนกำเนิดคือวิธีการหายใจรูปแบบหนึ่ง จนถึงวันนี้เขาฝึกฝนมาเป็นระยะเวลาสิบเอ็ดปีแล้ว ทุกวันเช้าเย็นจะฝึกครั้งละหนึ่งชั่วโมง จนเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว
ตามคำบอกเล่าของซินแสเฒ่า หมัดยุทธ์แท้คือหมัดแห่งเทพเซียน กระบวนท่าทั้งสิบแปดท่าสามารถผ่าเขาทลายแผ่นหิน พลังแค่เสี้ยวเดียวอย่างหมัดหนึ่งหมัดก็ทำลายรถถังคันหนึ่งได้ อีกทั้งพลังก่อนกำเนิดทั้งสิบสองขั้นยิ่งไม่ธรรมดา ชะล้างร่างกายเหมือนเกิดใหม่ เปลี่ยนสภาพกายของมนุษย์ เมื่อฝึกเข้าขั้นจะเหาะเหินเดินอากาศได้ดั่งเทพเซียนก็ไม่ปาน
ปัญหาคือหลี่มู่ฝึกฝนมาสิบเอ็ดปีแล้ว หมัดยุทธ์แท้กลับไม่สามารถผ่าไม้ซุงหนึ่งท่อนได้ สำหรับเขาข้อดีเพียงอย่างเดียวของพลังก่อนกำเนิดคือทำให้ปอดเขาแข็งแรงขึ้น พลังอันน่าดึงดูดใจที่ซินแสเฒ่าพูดยังไม่เห็นมีทีท่าจะเป็นอย่างที่ว่าเลยสักนิด
ซินแสเฒ่าที่มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้
ตามคำบอกเล่าของซินแสเฒ่า โลกในปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคมืดของวิถีแห่งการบำเพ็ญเป็นเซียน พลังฟ้าดินอ่อนแรง พลังธาตุในอากาศไม่เหมาะสมกับการฝึก ดังนั้นจึงไม่อาจฝึกฝนวิชาแห่งวิถีเซียนทั้งสองที่เขารับสืบทอดมาได้
เหตุผลปัญญาอ่อนเช่นนี้ยังกล้าพูดออกมา
คนโกหก!
หลี่มู่คร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับซินแสเฒ่าแล้ว
สิ่งที่ทำให้เขาโมโหก็คือ ในเมื่อซินแสเฒ่ายอมรับเองว่าบนโลกใบนี้ไม่มีวิธีใดทำให้ฝึกสำเร็จ แล้วทำไมยังบังคับให้ฝึกอีกล่ะ
ตอนเริ่มฝึกปีแรกๆ หลี่มู่ที่อายุห้าหกขวบต้องการต่อต้าน เขาเลยถูกซินแสเฒ่าตีจนเนื้อแตก ต้องฝึกต่อไปทั้งที่มีน้ำหูน้ำตา ต่อมาหลี่มู่เติบโตขึ้นจนซินแสเฒ่าตีไม่ไหวอีกต่อไป เหตุเพราะไม้แข็งนั้นยากเกินจะดัดได้ หากหลี่มู่ไม่เชื่อฟัง เขาก็แกล้งบ้าวิ่งเป็นชีเปลือยขึ้นไปบนเขา หลี่มู่ที่ทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่จำใจยอมฝึกต่อไปโดยดี
จนท้ายที่สุดหลี่มู่ก็เคยชินไปเสียแล้ว
อย่างไรการฝึกแบบจำยอมนี้ก็นับเป็นการออกกำลังกายรูปแบบหนึ่ง เหมือนกับที่เด็กๆ เต้นแอโรบิกออกกำลังตามวิทยุสองชั่วโมงในทุกวัน
แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก!
หลังฝึกเพลงหมัดหนึ่งชุดและวิชายุทธ์เสร็จสิ้น ร่างกายของหลี่มู่ก็ร้อนระอุ
โดยเฉพาะอวัยวะภายในร่างกายที่ร้อนดั่งเปลวเพลิง แต่ก็เกิดความรู้สึกที่สบายยิ่ง
หลี่มู่เคยชินแล้ว
หลังจากฝึกวิชายามเย็นเสร็จ เขามายังประตูห้องฝึกสมาธิที่ลานด้านหลัง
“ตาเฒ่า ผมฝึกวิชาเสร็จแล้วนะ อาหารเย็นอยากกินอะไรครับ? ผมได้ตับหมูสดจากโรงฆ่าสัตว์ ทำบะหมี่ตับหมูต้มฟักที่ท่านชอบกินดีไหม” ตั้งแต่หกขวบหลี่มู่ก็เริ่มทำงาน เขาถูกซินแสเฒ่าผู้ไร้ยางอายบังคับให้ทำอาหาร ที่ผ่านๆ มาก็เป็นหลี่มู่ที่ลงมือทำอาหารสำหรับพวกเขาสองคน
“วันนี้เป็นวันสำคัญ อย่าเพิ่งรีบกินข้าว ข้าอยากจะบอกเจ้าเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง”
ซินแสเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างเห็นได้ยาก เขาพูดผ่านม่านกั้นประตูในห้องฝึกสมาธิออกมา
“วันสำคัญ?” หลี่มู่ได้ยินดังนั้นก็อึ้งไปชั่วขณะ เขาลูบศีรษะแล้วเริ่มใช้ความคิด วันนี้วันที่ 4 เดือน 7 ปี 2017 ไม่ใช่วันหยุดราชการและก็ไม่ใช่วันหยุดตามประเพณี อีกทั้งไม่ใช่วันชาติ…มันเป็นแค่วันธรรมดาสุดๆ วันหนึ่งนี่ เป็นวันสำคัญอะไรกัน?
“เจ้านั่งที่หน้าประตูห้องฝึกสมาธิก่อน แล้วฟังข้า” ซินแสเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม ต่างจากทุกวันที่พูดด้วยน้ำเสียงกระด้าง “สิ่งที่ข้าต้องการจะพูดต่อไปนี้มันสำคัญมาก เจ้าควรตั้งใจฟัง อย่าขัดจังหวะกลางคันก่อนจะพูดเสร็จสิ้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา