น้ำเสียงของหลี่มู่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เผยให้เห็นความมั่นใจอย่างแรงกล้า
เจิ้งฉุนเจี้ยนฟังแล้วใจสั่นสะท้าน
แปดปีผ่านไป เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายรองกันแน่ ความเปลี่ยนแปลงจึงมากถึงเพียงนี้ เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งจนถึงขั้นประหลาด นิสัยยังเข้มแข็งเด็ดขาดขึ้นมาก
เขาพลันรู้สึกว่า บางทีตอนนั้นนายท่านตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับคุณชายอาจเป็นเรื่องที่ผิดพลาด ต้องมีสักวันที่นายท่านต้องเสียใจภายหลังจริงๆ
และตอนนี้ ในใจของหลี่มู่เริ่มวางแผนเดินทางไปเมืองฉางอันแล้ว
เดินทางไปเมืองฉางอัน นี่คือการตัดสินใจสุดท้ายของเขา
เหตุผลที่ทำเช่นนี้มีมากมาย
นอกจากเห็นใจมารดาผู้มีชีวิตอาภัพ เขายังรู้สึกว่าตัวเองมาถึงดาวดวงนี้ สวมรอยแทนหลี่มู่ตัวจริง เช่นนั้นก็ควรรับผิดชอบหน้าที่ของหลี่มู่คนนี้สักหน่อย
อย่างไรเสียเขาก็ใช้ฐานะนี้ในอำเภอรับผลประโยชน์
โดยเฉพาะครั้งที่เพิ่งมาถึงดาวดวงนี้ หากไม่มีตัวตนนี้ช่วยปกปิด เขาก็อาจมีวันเวลาที่อเนจอนาถมาก
ในเมื่อฉวยโอกาสจากหลี่มู่คนนั้นมา ก็ควรจะทำอะไรเพื่อเขาบ้าง
หลี่มู่ของโลกใบนี้ตกหน้าผา ไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว เช่นนั้นเขาที่มาสวมรอยก็ควรจะแบกรับกรรมและความรับผิดชอบบางอย่างด้วย
ถึงแม้ไปเมืองฉางอันครั้งนี้อันตรายเสี่ยงภัยแน่นอน
แต่ว่าหลี่มู่ก็มีความเด็ดเดี่ยวของตัวเอง
เป็นคนกลัวตายได้ ขี้ขลาดได้ วิ่งหนีได้ ยอมแพ้ได้…เรื่องพวกนี้ทำได้หมด แต่มีเรื่องหนึ่งคือจะไม่แบกรับหน้าที่ไม่ได้เด็ดขาด
ซินแสเฒ่าเคยพูดไว้ คนคนหนึ่งไม่ลงมือทำเรื่องเรื่องหนึ่ง หนีไม่พ้นเหตุผลสองข้อ หนึ่งคือยกภูเขาไท่ซานข้ามทะเลตงไห่ นั่นคือทำไม่ได้ สองคือมิยอมหักกิ่งไม้ให้ผู้อาวุโส นั่นคือไม่ยินดีที่จะทำ[1] แม้แต่ซินแสเฒ่าที่ใจคับแคบยังมีความคิดเชื่อมั่นว่าชีวิตคนบนโลกพึงกระทำสิ่งที่ควรกระทำ และหลีกเลี่ยงในสิ่งไม่ควรกระทำ สั่งสอนหลี่มู่ครั้งแล้วครั้งเล่า
ดังนั้น ต่อให้เมืองฉางอันเป็นถ้ำเสือสระมังกร ไปสักครั้งแล้วจะอย่างไร
“ขอแค่มีเหตุผลที่ตัวเองยึดมั่น ต่อให้เป็นพ่อพระแล้วจะอย่างไรเล่า”
หลี่มู่ตัดสินใจเช่นนี้ ในใจแน่วแน่มั่นคง
แน่นอน เรื่องนี้จะรีบร้อนเกินไปไม่ได้
ก่อนจะไปเมืองฉางอันต้องทำความเข้าใจและเตรียมการเอาไว้บ้าง
อีกทั้งในอำเภอขาวพิสุทธิ์ตอนนี้ คนที่รู้จักเมืองฉางอันที่สุด ไม่มีใครเกินไปกว่าเจิ้งฉุนเจี้ยนและหลี่ปิงที่อยู่เบื้องหน้านี้แล้ว ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นกุนซือหัวสุนัข[2]ของเจ้าเมืองชายชั่ว อีกคนหนึ่งเป็นลูกชายคนเล็กของเขา นับเป็นคลังข้อมูลเคลื่อนที่สองคลังอย่างแน่นอน
‘โชคดีที่วันนี้ไม่ได้ฆ่าเจ้าสองตัวนี้ทิ้ง จะได้ให้พวกมันเขียนการกระจายตัวของขั้วอำนาจและรายชื่อยอดฝีมือทั้งหมดในเมืองฉางอัน รวบรวมออกมาเป็นหนังสือข้อมูล’
ในใจของหลี่มู่มีแผนแล้ว
แต่ว่าเขาไม่รีบร้อนอะไร
เขาไต่สวนเจิ้งฉุนเจี้ยนต่อ
“ผู้ตรวจสวีที่มาวันนี้ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร?” หลี่มู่ถาม
สีหน้าของเจิ้งฉุนเจี้ยนเปลี่ยนไปทันที ฉายแววหวาดเกรงรางๆ
“ผู้ตรวจสวีมาจากสำนักตรวจการเมืองฉางอัน ใต้เท้าท่านก็รู้ กฎหมายของสามจักรวรรดิของแผ่นดินใหญ่เสินโจวไม่มีอำนาจใดควบคุมผู้แข็งแกร่งในยุทธจักรที่มีชื่อเสียงพวกนั้นได้โดยสมบูรณ์ ดังนั้นสำนักตรวจการจึงถูกก่อตั้งขึ้น นี่เป็นหน่วยงานตรวจสอบที่เก้าสำนักเทพและจักรวรรดิทั้งสามร่วมกันก่อตั้ง เอาไว้ควบคุม กำหนดมาตรฐาน ตรวจสอบ ไต่สวนคนในยุทธจักรและกลุ่มอำนาจที่ขุนนางในจักรวรรดิจัดการยาก มีอำนาจมหาศาล จากการพัฒนาหลายต่อหลายปี ตำแหน่งของสำนักตรวจการถึงขั้นอยู่เหนือกว่ากฎหมายทั่วไปของจักรวรรดิ ยอดฝีมือในสำนักตรวจการล้วนมาจากคนในสำนักเทพทั้งเก้าและสำนักขั้นหกขึ้นไป…ผู้ตรวจสวีคนนั้นเป็นยอดฝีมือจาก ‘สำนักผืนทราย’ เมื่อสามปีก่อนมารับตำแหน่งที่สำนักตรวจการเมืองฉางอัน และเป็นหนึ่งในผู้ตรวจสอบทั้งเจ็ดสิบสองของสำนักตรวจการ…”
เจิ้งฉุนเจี้ยนอธิบายอย่างไม่ปิดบัง
ต้องขอบคุณวิธีการสอนแบบยัดเยียดบนโต๊ะอาหารของเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิง ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสำนักตรวจการ ที่จริงหลี่มู่พอจะรู้อยู่บ้าง
เขาเองก็รู้เรื่องสถานะพิเศษของสำนักตรวจการในระบบขั้วอำนาจของโลกนี้เช่นกัน
“ ‘สำนักผืนทราย’? สำนักขั้นหกรึ? เกี่ยวอะไรกับ ‘สำนักดับนิวรณ์’ หรือ ‘สำนักหมาป่าสวรรค์’ พวกนี้หรือไม่?” หลี่มู่ถาม โดยปกติแล้วฝ่ายที่ใช้คำว่า ‘สำนัก’ ตั้งชื่อล้วนมีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นกลุ่มที่ดูถูกไม่ได้เลย
“เป็นหนึ่งในหกสายสำนักโบราณ สืบทอดมาหลายพันปีขอรับ” เจิ้งฉุนเจี้ยนตอบ
หลี่มู่รู้อยู่ในใจแล้ว
บ้าเอ๊ย เป็นตัวโหดกันทั้งนั้นเลย
“ข้าสังหารผู้ตรวจสวีไป นานเท่าไหร่คนของสำนักตรวจการถึงจะรู้ตัว?” เขาถามอีก
เจิ้งฉุนเจี้ยนเข้าใจความหมายของหลี่มู่ ครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วจึงตอบ “ผู้ตรวจสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระในพื้นที่ที่ดูแล มักเดินไปตามที่ต่างๆ ร่องรอยไม่ชัดเจน อีกทั้งครั้งนี้ผู้ตรวจสวีไม่ได้มาด้วยภารกิจ ดังนั้นขอแค่ปิดข้อมูล ในระยะเวลาอันสั้น สำนักตรวจการเมืองฉางอันไม่มีทางพบเรื่องที่เขาหายตัวไป สามารถปกปิดได้ประมาณสามเดือนขอรับ”
สามเดือน?
แค่นั้นก็พอแล้ว
วิชาที่หลี่มู่ฝึกฝนเป็นเคล็ดเทพเซียน พลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วราวจรวดที่ทะยานไปในท้องฟ้า เพิ่งจะมาดาวดวงนี้ได้แค่สองสามเดือนก็มีพลังเช่นนี้แล้ว ผ่านไปอีกสองสามเดือน พลังของเขาจะต้องปีนไปถึงขั้นระดับสูงสุดอีกครั้งอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นต่อให้สำนักตรวจการมาหาถึงที่ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัว
แต่ว่าจะปกปิดได้สามเดือนจริงหรือไม่ ยังมีเหตุปัจจัยให้เปลี่ยนแปลงได้
เวลาสามเดือนที่เจิ้งฉุนเจี้ยนอนุมานออกมาอยู่ในเงื่อนไขแรกที่ว่า ‘ข่าวปกปิดได้ดี’ แต่ความจริงคือในบรรดาคนที่รู้เห็นการตายของผู้ตรวจสวี ศิษย์ของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เขาก็ปล่อยไปแล้ว หากคนพวกนี้ปล่อยข่าวออกไป เช่นนั้นการมาแก้แค้นเอาคืนจากสำนักตรวจการอาจมาถึงเร็วกว่าที่คิดเอาไว้
ด้วยเหตุนี้ หลี่มู่ไม่มองในแง่บวกเกินไปนัก จะฝากความหวังไว้ที่ศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่มีใจเป็นปฏิปักษ์ไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา