สรุปเนื้อหา บทที่ 132 พวกเจ้าเกินเวลาแล้ว – จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet
บท บทที่ 132 พวกเจ้าเกินเวลาแล้ว ของ จอมศาสตราพลิกดารา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
มีคนจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก
คนที่เป็นผู้นำดูแล้วอายุน่าจะประมาณยี่สิบกว่าๆ หน้าตาหมดจดงดงาม ใบหน้าขาวราวหยก เครื่องหน้าสมส่วนคมคาย คิ้วกระบี่ตาเป็นประกาย เรือนร่างสูงโปร่ง ท่าทางดูดีมีความสามารถ สวมชุดเกราะอ่อน ที่เอวมีกระบี่ยาวห้อยอยู่ ดูองอาจยิ่งนัก เพียงแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยโทสะ พอเข้ามาก็จ้องหลี่มู่เขม็งด้วยแววตาคมกริบ
ผู้ที่พูดขึ้นเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นชายหนุ่มคนนี้
ข้างหลังเขายังมีอีกสี่ห้าคน ล้วนเป็นคนอายุยี่สิบกว่าพอๆ กัน แต่งกายแตกต่างกันไป แต่ดูมีฐานะทั้งสิ้น แค่มองแวบแรกก็รู้ว่าชาติตระกูลมั่งคั่ง กลิ่นอายของทุกคนล้วนแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือวิชายุทธ์
ครั้นเห็นคนเหล่านี้เดินเข้ามา ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนขดตัวหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง ก้มหน้าไม่ส่งเสียง ราวกับกลืนไปกับความมืดที่มุมกำแพงไปแล้ว
คนหนุ่มซึ่งเข้ามาไม่สนใจคนที่ดูแล้วเหมือนคนรับใช้ผู้นี้
หลี่มู่ประคองมารดาให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ผุผังหน้ากระท่อมมุงจาก ให้ชุนเฉ่าคอยดูแลรับใช้อยู่ข้างกาย แล้วจึงหมุนตัวมาปรายตามอง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นใคร?”
“เจ้าเด็กชั่ว คุยโวโอ้อวด ไม่เห็นผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ในสายตา” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาตวาด “ยังไม่คุกเข่าคำนับรับผิดอีก”
หลี่มู่อับจนคำพูด “เจ้ามันเป็นใครกัน? สมองมีปัญหารึไง”
อันที่จริง เขาพอจะเดาได้แล้ว
ชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นลูกชายคนโตของเจ้าเมืองเฮงซวย ลูกชายที่เจ้าเมืองสารเลวคนนั้นมีกับภรรยาคนแรกก่อนจะมีฐานะตำแหน่ง
ท่าทางเรื่องวันนี้จะต้องเกี่ยวอะไรกับคุณชายใหญ่สกุลหลี่ผู้นี้แน่นอน
“อายุน้อยแต่กำเริบนัก สหายหลี่เป็นถึงพี่ชายต่างมารดากับเจ้า ยังไม่รีบมาคารวะอีก” ชายหนุ่มสวมชุดแพรพรรณอีกคนหนึ่งตวาดขึ้น
หลี่มู่หัวเราะหึๆ “ข้ามีแม่ไม่มีพ่อ จะมีพี่ชายต่างมารดามาจากไหนกัน”
“เจ้าเด็กเวร กล้าพูดว่ามีแม่ไม่มีพ่อเช่นนี้ ช่างไร้ความเป็นคนนัก” ชายหนุ่มคนนั้นโมโหเป็นอย่างมาก ตวาดเสียงดัง “เสียแรงที่ข้าคิดจะโน้มน้าวท่านพ่อให้ให้โอกาสเจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับดื้อดึงเช่นนี้ ข้าว่าตำแหน่งขุนนางเมืองของเจ้าคงสิ้นสุดแค่นี้แล้ว”
มารดาหลี่มู่ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินถึงตรงนี้ก็รู้ว่าใครมา จึงรีบลุกยืนขึ้นงกๆ เงิ่นๆ แล้วพูดว่า “ที่แท้เป็นสยงเอ๋อร์มานี่เอง วันนี้มู่เอ๋อร์เพิ่งจะกลับมา ยังไม่รู้ฐานะของเจ้า เจ้าอย่าได้ถือสาหาความเขาเลย…” พูดแล้วก็ทำท่าจะโค้งคำนับขอโทษ
หลี่สยงแค่นเสียงเย็น
หลี่มู่รั้งมารดาเอาไว้พลางเอ่ย “ท่านแม่ อย่าได้ก้มหัวให้กับพวกกำเริบเสิบสานต่ำต้อยพวกนี้…ก็แค่ทายาทขุนนางเท่านั้น มีอะไรยิ่งใหญ่ที่ไหนกัน แค่มือเดียวข้าก็จัดการมันได้แล้ว ท่านแม่ ท่านต้องเชื่อใจลูกหน่อยนะ”
“ฮ่าๆๆ น่าขันนัก” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งได้ยินก็หัวเราะลั่น “เป็นพวกบ้านนอกจริงเสียด้วย ถึงได้กล้าพูดจาไม่ประมาณตนเช่นนี้ ชื่อเสียงและบารมีของคุณชายใหญ่ในเมืองฉางอัน มีใครบ้างที่ไม่รู้? เจ้าเป็นแค่ขุนนางเมืองเล็กๆ แต่วาจากล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ ช่างเป็นกบในกะลา ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ”
หลี่มู่แค่นเสียงเย็น ขี้เกียจจะพูดกับทายาทเศรษฐีทายาทขุนนางที่คิดว่าตัวเองสุดยอดเหล่านี้
เขาชูสามนิ้วขึ้นมา “สามสิบอึดใจ”
“หมายความว่าอย่างไร?” ชายหนุ่มคนนั้นอึ้งไป
หลี่มู่ตอบไปว่า “ภายในสามสิบอึดใจ รบกวนพวกเจ้าคนหน้าโง่ไปยืนนอกกำแพง อย่าได้เป็นมลพิษทางอากาศในเขตเรือน อย่าท้าทายความอดทนและขีดจำกัดของข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่อย่างนั้นละก็…”
“ไม่อย่างนั้นจะทำไม?” ชายหนุ่มสวมชุดแพรพรรณหัวเราะเสียงเหยียดหยาม
ร่างของหลี่มู่เพียงขยับ ก็กะพริบวูบราวเงาภูตผี
“อ๊าก…”
ทุกคนยังไม่ทันได้ตั้งตัว รู้สึกแค่ว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน จากนั้นเสียงร้องอเนจอนาถก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มที่พูดเมื่อครู่ถูกโยนออกไปราวกระสอบเก่าๆ หล่นตุบไปนอกกำแพง ฝุ่นควันฟุ้งตลบ ลุกไม่ขึ้นอยู่นาน
“ไม่อย่างนั้น…ก็จะเป็นแบบนี้” หลี่มู่ยืนอยู่ที่เดิม เสมือนไม่ได้ขยับเลยอย่างไรอย่างนั้น
คราวนี้หลี่สยงชายหนุ่มผู้หล่อเหลาและสหายหนุ่มทั้งหลายต่างประสานสายตามองกันไปมา พร้อมสูดลมหายใจเฮือก
พวกเขาคิดว่าตนเก่งกาจ นึกว่าเป็นบุคคลแถวหน้าที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นหนุ่มของเมืองฉางอัน โดยปกติทำตัวเป็นใหญ่ไปทั่วเมืองฉางอัน พรรคใหญ่หรือสำนักต่างๆ ล้วนแต่ต้องถอยห่างทำความเคารพ แม้แต่ยอดฝีมือมีชื่อทั้งหลายยังต้องเกรงอกเกรงใจพวกเขา แต่ว่าเพียงชั่วขณะเมื่อครู่ ในบรรดาพวกเขาไม่มีใครมองออกเลยว่าหลี่มู่ทำได้อย่างไร
“ตอนนี้ข้าว่าพวกเจ้าเข้าใจแล้ว…ตอนออกไปช่วยข้าปิดประตูใหญ่ด้านนอกเรือนให้ด้วยเล่า ขอบใจ” หลี่มู่หัวเราะ
รอยยิ้มนี้ในสายตาของพวกหลี่สยงค่อนข้างน่ากลัว ทั้งยังเป็นการยั่วยุอย่างชัดเจน
หลี่สยงสูดหายใจเข้าลึก
สีหน้าอารมณ์บนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเล็กน้อย น้ำเสียงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ท่าทางเปลี่ยนไปเหมือนพี่ชายผู้หวังดี “หลี่มู่ เลิกก่อเรื่องได้แล้ว ท่านพ่อรู้ว่าเจ้ากลับมาฉางอันแล้ว หลายปีมานี้ท่านวาดหวังในตัวเจ้า ความผิดพลาดที่เจ้าทำในตอนนั้น ท่านพ่อล้วนอภัยให้ได้ เจ้าตามข้ากลับจวนไปคารวะท่านพ่อเถอะ”
ชายหนุ่มที่เหลือก็โมโหเช่นกัน พวกเขาเคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เสียเมื่อไหร่ เป็นแค่ขุนนางเมืองเล็กๆ เท่านั้น คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่นักจริงๆ หรือไร? ที่นี่คือเมืองฉางอัน ไม่ใช่อำเภอขาวพิสุทธิ์
“ไม่รักดี”
“ใช้อารมณ์จัดการปัญหา…หึๆ รนหาที่ตาย”
“สหายหลี่ พวกเราไปกันเถิด เด็กพรรค์นี้สอนสั่งไม่ได้ ท่านไม่ต้องใจดีคิดแทนมันหรอก ปล่อยให้มันรับไฟโทสะของท่านเจ้าเมืองไปเถอะ”
ชายหนุ่มทั้งหลายพูดขึ้นอย่างโมโห
คำพูดของคนสุดท้าย ที่จริงแล้วคือหาทางลงให้กับทุกคน
พวกเขาตกใจกับท่าร่างที่ราวกับภูตผีของหลี่มู่ ยามมามาด้วยท่าทางดุดัน แต่กลับพบว่าไม่ใช่คู่มือของหลี่มู่ จึงไม่กล้าแตกหักกันไปข้างจริงๆ ทำได้แค่จากไปด้วยวิธีแบบนี้ และไม่ยอมรับว่าที่จริงตนเองเกรงกลัวหลี่มู่
สีหน้าของหลี่สยงเปลี่ยนไป สุดท้ายถอนหายใจก่อนเอ่ย “เฮ้อ หลี่มู่ ข้าพูดมากขนาดนี้ก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น เสียดายที่เจ้าดื้อดึง ตอนนี้เจ้ายังอายุน้อยไม่รู้จักดีชั่ว ข้าไม่โทษเจ้าหรอก เจ้าคิดให้ดีๆ ก็แล้วกัน อย่าได้เอาแต่อารมณ์สะใจตอนนี้ แล้วสุดท้ายต้องเสียใจไปชั่วชีวิต”
พูดจบเขาก็มองมารดาหลี่มู่แวบหนึ่ง “เจ้าที่เป็นแม่ อายุปูนนี้แล้ว ถึงตาจะบอดแต่ก็ไม่ถึงกับเลอะเลือนกระมัง อย่างไรก็ฉลาดกว่าเด็กหน่อย หากมีเวลาจงเตือนๆ ลูกบ้าง อย่าได้ทำเรื่องอะไรไม่รู้จักประมาณตน”
มารดาหลี่มู่ฟังออกว่าคำพูดนี้กล่าวกับนาง จึงรีบลุกขึ้นพยักหน้า คิดจะทำอะไรชดเชยให้หลี่มู่เสียหน่อย
ทว่าหลี่สยงเมินเฉยต่อรอยยิ้มเคารพและขออภัยของสตรีผู้นี้โดยสิ้นเชิง
เขากัดฟันหมุนตัวมา พูดกับสหายของตนว่า “ข้าว่าข้าทำดีที่สุดแล้ว…พวกเราไป”
พูดแล้ว คนกลุ่มนั้นก็ตั้งท่าจะจากไป
หลี่มู่ตบมือ กล่าวขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เดี๋ยวก่อน”
หลี่สยงลิงโลด หันหน้ากลับมามองหลี่มู่แล้วพูดอย่างเย็นชา “ทำไมรึ คิดตกแล้ว? รู้ว่าตัวเองผิดไปแล้ว? อืม คนไม่ใช่นักปราชญ์ย่อมเคยผิดพลาด ขอแค่เจ้ายอมรับผิด ก็ใช่ว่าข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้า…”
หลี่มู่ตัดบทเขาทันที กำหมัดพลางเอ่ย “อย่าเข้าใจผิด ข้าแค่อยากจะเตือนทุกคนก็เท่านั้น ขอโทษที เวลาสามสิบอึดใจหมดลงแล้ว และพวกเจ้า…เกิน…เวลา…แล้ว!”
……………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา