จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 131

สรุปบท บทที่ 131 คุยโวโอ้อวดยิ่งนัก: จอมศาสตราพลิกดารา

สรุปตอน บทที่ 131 คุยโวโอ้อวดยิ่งนัก – จากเรื่อง จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet

ตอน บทที่ 131 คุยโวโอ้อวดยิ่งนัก ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง จอมศาสตราพลิกดารา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ชื่อของใต้เท้าต่งคือต่งอวี่เฟย เป็นหัวหน้ามือปราบในที่ว่าการเขตตะวันตกของเมืองฉางอัน ลำดับขั้นเจ็ด เทียบเท่ากับขุนนางเมืองของที่ว่าการอำเภอท้องถิ่น หากอยู่นอกเมืองฉางอันก็นับว่ามีหน้ามีตา แต่ว่าอยู่ในเมืองฉางอัน แค่โยนก้อนอิฐไปตามอารมณ์ก็กระแทกหัวขุนนางขั้นเจ็ดได้ จึงพอจะนับว่าเป็นขุนนางระดับกลางได้เท่านั้น

ต่งอวี่เฟยร่างสูงราวห้าฉื่อ (ประมาณ 170 เซนติเมตร) ร่างอ้วนกลม ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา หน้าตาอัปลักษณ์ เป็นสหายสนิทของเจิ้งเทียนเหลียง พูดให้ถูกต้องคือเป็นสหายร่วมผลประโยชน์ของเจิ้งเทียนเหลียง เมื่อครู่เจิ้งเทียนเหลียงแอบส่งสัญญาณไปให้ ต่งอวี่เฟยที่เตรียมการเอาไว้นานแล้วจึงพาทหารคนสนิทยี่สิบนายตามมาทันที แต่สิ่งที่ได้เจอกลับเป็นศพของเจิ้งเทียนเหลียง

“เป็นใครที่กำเริบเสิบสานถึงขนาดนี้ กล้าสังหารแม้แต่คหบดีเจิ้ง?” เขาทั้งโมโหทั้งตกใจ มองไปยังเหล่าองครักษ์ผู้ติดตามของเจิ้งเทียนเหลียง

“เป็นเณรรูปหนึ่ง” ไหลฝูตอบ

“บอกว่าตัวเองเป็นบุตรชายของยายแก่ข้างในนั่น วรยุทธ์สูงส่งมาก” วั่งไฉเอ่ยเสริมอีกประโยค

เมื่อครู่ก่อนที่หลี่มู่จะเด็ดหัวของเจิ้งเทียนเหลียงก็แสดงฐานะของตน องครักษ์พวกนี้ก็ล้วนได้ยิน

หญิงแก่ข้างในคนนั้น?

ผู้หญิงคนนั้นที่ใต้เท้าเจ้าเมืองหย่าขาด?

ลูกชายของนาง?

หรือนั่นไม่ใช่…ต่งอวี่เฟยสูดลมหายใจเฮือก

เขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฉางอันมายี่สิบกว่าปีแล้ว ดังนั้นจึงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ใต้เท้าเจ้าเมืองหย่าภรรยาคนก่อน ตบแต่งคนใหม่ ลูกชายคนที่สองหลี่มู่อายุน้อยบุ่มบ่าม ตบมือสามครั้งตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับท่านเจ้าเมือง จากนั้นก็ออกจากบ้านไป ก่อนจากได้สาบานไว้ว่าจะต้องกลับมาแก้แค้นหลังจากที่ก้าวหน้าแล้ว เรื่องนี้เคยฮือฮาไปทั่วเมืองฉางอัน

หลายปีมานี้ ภรรยาเก่าผู้นี้และลูกชายที่ออกจากบ้านไปกลายเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับท่านเจ้าเมือง

โดยเฉพาะหลี่มู่ลูกชายคนนั้น ว่ากันว่าหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยส่งจดหมายกลับมาเลย ทุกคนล้วนคิดไปโดยปริยายว่าเขาตายอยู่ข้างนอกไปแล้ว ทำไมผ่านไปแปดปีเขากลับมีชีวิตกลับมา?

ต่งอวี่เฟยคิดๆ ดูแล้วก็เรียกคนสนิทข้างกายมาคนหนึ่ง กระซิบอะไรไปที่ข้างหู

คนสนิทหมุนตัวจากไปอย่างรีบร้อน

“ไปกันเถอะ ไปเจอคุณชายรองผู้นี้เสียหน่อย เหอะๆ”

ต่งอวี่เฟยนำคนผลักประตูเดินเข้าไป

ก็แค่ลูกผู้ถูกทอดทิ้งที่ตัดความสัมพันธ์กับท่านเจ้าเมืองแล้ว ในใจของเขาไม่ได้เกรงกลัวอะไรนัก เขาเคยได้ยินข่าวลือบางอย่างมา ใต้เท้าเจ้าเมืองรังเกียจลูกชายคนนี้เป็นอย่างมาก ว่ากันว่าตอนนั้นหลังจากที่หลี่มู่ออกจากบ้าน ใต้เท้าเจ้าเมืองยังเคยส่งคนไปฆ่า คิดจะขุดรากถอนโคน แต่กลับหาตัวไม่เจอ ภายหลังจึงล้มเลิกไป

……

“ลูกแม่ ลูกชายที่น่าสงสารของแม่ ทำไมเจ้าจึงออกบวชเสียเล่า” มารดาหลี่มู่ดึงมือของเขาพลางถามอย่างร้อนรน

หลี่มู่ลุกขึ้นกล่าว “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ออกบวชเป็นพระ แค่ผมสั้นนิดหน่อยเท่านั้น…ลูกศึกษาเล่าเรียนสำเร็จ สอบได้เป็นจิ้นซื่อของจักรวรรดิ เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ตอนนี้ลูกเป็นขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์แห่งเมืองฉางอัน รับตำแหน่งเมื่อสามเดือนที่แล้ว หลังจากจัดการงานราชการในอำเภอเรียบร้อยก็มารับท่านทันที ท่านแม่ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ลูกจะปกป้องท่านแม่ไม่ให้ใครหน้าไหนมารังแกท่านเด็ดขาด”

ในตอนนี้เอง…

“เหอะๆ คุยโวโอ้อวดยิ่งนัก ขุนนางเมืองตำแหน่งเล็กๆ กล้ามาสังหารคนในเมืองฉางอัน คิดว่าเป็นขุนนางแล้วจะไม่มีใครจัดการเจ้าได้แล้วหรืออย่างไร?”

ต่งอวี่เฟยหัวเราะเสียงเย็นพลางนำมือปราบชุดเกราะติดอาวุธครบครันบุกเข้ามา

เห็นขุนนางทหารพวกนี้ปรากฏตัวขึ้น ชุนเฉ่าตื่นตระหนกทันที

นางจำได้ ขุนนางร่างอ้วนที่เป็นหัวหน้าคนนั้นคือสหายสนิทของเจิ้งเทียนเหลียง มักจะมาที่คฤหาสน์เจิ้งบ่อยๆ ทั้งสองคนนับถือเป็นพี่เป็นน้องกัน

หลี่มู่ขมวดคิ้ว หันหน้ากลับไปพูด “ไสหัวออกไป”

ต่งอวี่เฟยอึ้งงัน จากนั้นก็เดือดดาล “หลี่มู่ เจ้าว่าอย่างไรนะ เจ้า…”

โครม!

หลี่มู่พลิกมือซัดหมัดออกไป

ปราณหมัดราวคลื่นคลั่งถาโถม ดุจพายุหมุนบนผืนดิน ต่งอวี่เฟยและมือปราบเสื้อเกราะที่อยู่ข้างหลังล้วนมีพลังฝึกวิถียุทธ์ในกายอยู่บ้าง แต่เสี้ยวขณะนี้รู้สึกแค่ขาดอากาศหายใจ ราวกับมีคลื่นยักษ์ซัดมาหอบม้วนออกไปโดยไม่อาจฝืนต้านทานได้ ก่อนลอยข้ามกำแพงเรือนไปร่วงระเนระนาดอยู่นอกกำแพง

“นี่…”

ต่งอวี่เฟยร้องครางพลางลุกยืนขึ้น ในใจตื่นตระหนก

หลี่มู่คนนี้ เหตุใดพลังจึงน่ากลัวถึงขนาดนี้?

แค่หมัดเดียวเท่านั้นก็โจมตีพวกตนยี่สิบคนจนกระเด็น ขั้นตอนนี้ราวกับเรื่องล้อเล่นอย่างไรอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่า หลี่มู่ยังควบคุมพลังเอาไว้ ไม่อยากฆ่าคน หากไม่ยั้งมือแล้วละก็ เช่นนั้นตอนนี้พวกตนได้กลายเป็นศพเกลื่อนพื้นแล้วมิใช่หรือ?

ครั้นตระหนักได้ถึงจุดนี้ ต่งอวี่เฟยรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

จังหวะนี้ไม่ถูกต้องสิ

เหตุที่คืนนี้เจิ้งเทียนเหลียงหาเรื่องมารดาหลี่มู่ ที่จริงแล้วต่งอวี่เฟยพอจะรู้มาบ้าง นั่นคือข้างหลังมีผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งบงการให้เจิ้งเทียนเหลียงทำเช่นนี้ มิฉะนั้น เจิ้งเทียนเหลียงที่เป็นแค่พ่อค้าเศรษฐีคนหนึ่งในเขตตะวันตกคงไม่กล้าลงมือกับมารดาของหลี่มู่จริงๆ อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า[1] ถึงอย่างไรมารดาของหลี่มู่ก็เป็นภรรยาเก่าเจ้าเมือง

แต่เดิมคิดว่าก็แค่มาทำท่าทำทางไปอย่างนั้น แต่ตอนนี้…

ขุนนางเมืองเล็กๆ คนหนึ่งอยู่ในเมืองฉางอันไม่ต่างอะไรกับมดปลวก คนที่สามารถจัดการเขาได้มีมากมายนัก แต่ขุนนางเมืองผู้นี้กลับเป็นยอดฝีมือที่พลังน่ากลัวถึงขนาดนี้ เช่นนั้นก็เป็นปัญหาเสียแล้ว

ต่งอวี่เฟยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขยับเนื้อขยับตัว ยืนอยู่นอกกำแพงเรือนไม่กล้าเข้าไปแล้ว

ถึงอย่างไรก็ส่งข่าวไปเรียบร้อย

ตอนนี้คิดว่าผู้สูงศักดิ์คนนั้นคงจะได้รับข่าวแล้ว ต่อไปจะทำอย่างไร ก็แล้วแต่ท่านผู้นั้นจะตัดสินใจเถอะ ถึงแม้เขาจะอยากได้รับความสำคัญจากผู้สูงศักดิ์ท่านนั้น แต่ก็ไม่อยากพุ่งโจมตีอยู่ด่านหน้า ถึงอย่างไรนกที่บินก่อนก็ตายก่อน ขื่อที่ตีขึ้นก่อนย่อมผุพังก่อนอยู่แล้ว

……

ข้างในเรือน เจิ้งฉุนเจี้ยนกุมขมับไร้คำพูด

ก็ยังคง…รุนแรงแบบนี้

ก่อนหน้าที่จะมาถึงฉางอัน เขาเห็นหลี่มู่ท่าทางเอ้อระเหยสบายๆ ยังคิดว่านายท่านผู้นี้ในใจมีแผน ตระเตรียมการทุกอย่างเอาไว้แล้ว แต่ว่าตอนนี้ดูไป นายท่านผู้นี้ไม่มีแผนอะไรเลย เหตุที่ไม่ใส่ใจก็เพราะเขาไม่หวาดกลัวและพะวงกับสิ่งใดทั้งนั้น

“ลูกแม่ กลับมาก็ดีแล้ว ที่จริงแม่ไม่หวังให้เจ้ารุ่งโรจน์ ขอแค่เจ้าแข็งแรงปลอดภัย แม่ก็วางใจยิ่งกว่าสิ่งใดแล้ว…ใช่แล้ว คนพวกนั้นที่เข้ามาเมื่อครู่นั่นไปไหนหมด? ทำไมจึงไม่พูดอะไรอีก?”

“แล้วก็ พูดคุยกับคหบดีเจิ้งดีๆ อย่าได้มีปัญหา ตอนนี้เจ้าเป็นขุนนางแล้ว แบบนั้นจะส่งผลไม่ดีกับเจ้า…”

มารดาหลี่มู่พูดไม่หยุด

ดวงตาของนางมองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง อาศัยฟังแค่เสียง จึงไม่รู้ว่าเจิ้งเทียนเหลียงถูกหลี่มู่สังหารไปแล้ว และก็ไม่เห็นภาพที่หลี่มู่โจมตีพวกต่งอวี่เฟยในหมัดเดียวด้วยเช่นกัน ทำให้คิดไปว่าคนพวกนั้นยังอยู่ในเขตเรือน

“ท่านแม่ วางใจเถิด ลูกสบายดี ลูกคุยกับพวกเขาเรียบร้อยดีแล้ว พวกเขาจะไม่กล้าก่อเรื่องอีก” หลี่มู่บอก

“จริงสิ ลูกแม่ เจ้าเดินทางมาต้องยังไม่ได้กินข้าวแน่นอน คงหิวแล้วกระมัง แม่…จะไปเตรียมอาหารให้เจ้า…ตอนเจ้ายังเด็ก เจ้าชอบกินบะหมี่หยางชุน[2]ที่แม่ทำมากที่สุด ครั้งหนึ่งกินได้ชามโตๆ เชียว…” มารดาหลี่มู่เช็ดน้ำตา เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงพูดขึ้นอย่างรีบร้อน

หลังจากตื่นเต้นยินดีอย่างล้นเหลือ คนเป็นแม่ สิ่งที่คิดได้เป็นอันดับแรกก็คือลูกชายกินอิ่มหรือไม่

“ท่านแม่ ข้ายังไม่ได้กินเลย แต่พวกเราเปลี่ยนที่ดีกว่า ที่นี่สภาพแวดล้อมโกโรโกโสนัก ลูกไม่อาจให้แม่ต้องลำบากต่อไปได้อีกแล้ว” หลี่มู่พูดขึ้น

“จะกลับอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้วหรือ?” มารดาหลี่มู่ถาม

หลี่มู่ตอบกลับ “ไม่ขอรับ หาโรงเตี๊ยมชั้นดีอาศัยอยู่ก่อน ลูกยังมีเรื่องอื่นต้องจัดการอีก ต้องอยู่ในเมืองฉางอันสามสี่วันได้” เขายังอยากเห็นความเจริญรุ่งเรืองของเมืองฉางอันเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ทั้งยังจะได้พบกับยอดยุทธ์จากที่ต่างๆ ได้รู้เห็นพลังของยอดฝีมือที่แท้จริง

“แต่ว่า…” มารดาหลี่มู่ค่อนข้างกังวล จึงเอ่ยปากถาม “เรื่องที่เจ้ากลับมา บิดาเจ้ารู้หรือไม่?”

“บิดาของข้า?” หลี่มู่เบ้ปาก ก่อนจะกล่าว “ท่านแม่พูดถึงเจ้าเมืองเฮงซวยคนนั้นรึ? ข้าตบมือสามครั้งตัดความสัมพันธ์พ่อลูกไปแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู้”

เจ้าเมืองเฮงซวย?

มารดาหลี่มู่อึ้งไป ก่อนจะเข้าใจว่าคนที่เขาพูดถึงคือเจ้าเมืองหลี่กัง

หลายปีที่ผ่านมานี้ นางหมดสิ้นความรู้สึกต่อหลี่กังโดยสิ้นเชิง ชายทรยศคนนี้กระทำการได้เด็ดขาดนัก ก็แค่หลอกใช้อำนาจของตระกูลนางเท่านั้น หลังจากที่ตระกูลล่มสลาย หลี่กังก็ตัดความสัมพันธ์กับนางทันที ทำให้นางเศร้าเสียใจ เหตุที่ถามเมื่อครู่ก็เพราะหลี่กังตอนนี้คือผู้ปกครองเมืองฉางอัน ได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางท้องถิ่น อำเภอขาวพิสุทธิ์อยู่ใต้การปกครองของเมืองฉางอัน อยู่ในการดูแลของหลี่กัง ในฐานะที่เป็นขุนนางเมือง หลี่มู่จะต้องฟังคำสั่งของหลี่กัง

ท่านแม่หลี่ค่อนข้างเป็นห่วงสถานการณ์ของลูกชาย

“ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเจ้าเมือง ดูแลปกครองทั้งเมืองฉางอัน เจ้าเป็นขุนนางเมืองอยู่ภายใต้การปกครองของเขา หากว่า…” ท่านแม่หลี่คิดจะเตือนหลี่มู่ด้วยเป็นกังวล

หลี่มู่พูดกลั้วหัวเราะ “ท่านแม่วางใจเถิด ในใจของลูกมีแผนแล้ว ไอ้ชายชั่วคนนั้น หากไม่มาหาเรื่องข้า ข้าก็ไม่ไปคิดเล็กคิดน้อยด้วย แต่หากเขาไม่รู้จักดีชั่ว…เช่นนั้นตำแหน่งเจ้าเมืองนี่ก็นับว่าถึงจุดสิ้นสุดแล้ว”

ยังพูดไม่ทันจบ ก็มีอีกเสียงหนึ่งดังเข้ามาจากด้านนอก

“หึๆ เจ้าเด็กชั่วไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คุยโวโอ้อวดนัก กล้าด่าบิดาเช่นนี้รึ”

……………………………………………………

[1] อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ภาษิตจีนหมายถึง แม้จะตกต่ำแต่ก็เคยเป็นใหญ่มาก่อน ยังคงหลงเหลือด้านที่แข็งแกร่งอยู่

[2] บะหมี่หยางชุน คืออาหารดั้งเดิมประเภทแป้งซึ่งนิยมกันมากในแถบเจียงหนานของจีน น้ำซุปใส รสชาติเบา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา