ชื่อของใต้เท้าต่งคือต่งอวี่เฟย เป็นหัวหน้ามือปราบในที่ว่าการเขตตะวันตกของเมืองฉางอัน ลำดับขั้นเจ็ด เทียบเท่ากับขุนนางเมืองของที่ว่าการอำเภอท้องถิ่น หากอยู่นอกเมืองฉางอันก็นับว่ามีหน้ามีตา แต่ว่าอยู่ในเมืองฉางอัน แค่โยนก้อนอิฐไปตามอารมณ์ก็กระแทกหัวขุนนางขั้นเจ็ดได้ จึงพอจะนับว่าเป็นขุนนางระดับกลางได้เท่านั้น
ต่งอวี่เฟยร่างสูงราวห้าฉื่อ (ประมาณ 170 เซนติเมตร) ร่างอ้วนกลม ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา หน้าตาอัปลักษณ์ เป็นสหายสนิทของเจิ้งเทียนเหลียง พูดให้ถูกต้องคือเป็นสหายร่วมผลประโยชน์ของเจิ้งเทียนเหลียง เมื่อครู่เจิ้งเทียนเหลียงแอบส่งสัญญาณไปให้ ต่งอวี่เฟยที่เตรียมการเอาไว้นานแล้วจึงพาทหารคนสนิทยี่สิบนายตามมาทันที แต่สิ่งที่ได้เจอกลับเป็นศพของเจิ้งเทียนเหลียง
“เป็นใครที่กำเริบเสิบสานถึงขนาดนี้ กล้าสังหารแม้แต่คหบดีเจิ้ง?” เขาทั้งโมโหทั้งตกใจ มองไปยังเหล่าองครักษ์ผู้ติดตามของเจิ้งเทียนเหลียง
“เป็นเณรรูปหนึ่ง” ไหลฝูตอบ
“บอกว่าตัวเองเป็นบุตรชายของยายแก่ข้างในนั่น วรยุทธ์สูงส่งมาก” วั่งไฉเอ่ยเสริมอีกประโยค
เมื่อครู่ก่อนที่หลี่มู่จะเด็ดหัวของเจิ้งเทียนเหลียงก็แสดงฐานะของตน องครักษ์พวกนี้ก็ล้วนได้ยิน
หญิงแก่ข้างในคนนั้น?
ผู้หญิงคนนั้นที่ใต้เท้าเจ้าเมืองหย่าขาด?
ลูกชายของนาง?
หรือนั่นไม่ใช่…ต่งอวี่เฟยสูดลมหายใจเฮือก
เขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฉางอันมายี่สิบกว่าปีแล้ว ดังนั้นจึงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ใต้เท้าเจ้าเมืองหย่าภรรยาคนก่อน ตบแต่งคนใหม่ ลูกชายคนที่สองหลี่มู่อายุน้อยบุ่มบ่าม ตบมือสามครั้งตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับท่านเจ้าเมือง จากนั้นก็ออกจากบ้านไป ก่อนจากได้สาบานไว้ว่าจะต้องกลับมาแก้แค้นหลังจากที่ก้าวหน้าแล้ว เรื่องนี้เคยฮือฮาไปทั่วเมืองฉางอัน
หลายปีมานี้ ภรรยาเก่าผู้นี้และลูกชายที่ออกจากบ้านไปกลายเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับท่านเจ้าเมือง
โดยเฉพาะหลี่มู่ลูกชายคนนั้น ว่ากันว่าหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยส่งจดหมายกลับมาเลย ทุกคนล้วนคิดไปโดยปริยายว่าเขาตายอยู่ข้างนอกไปแล้ว ทำไมผ่านไปแปดปีเขากลับมีชีวิตกลับมา?
ต่งอวี่เฟยคิดๆ ดูแล้วก็เรียกคนสนิทข้างกายมาคนหนึ่ง กระซิบอะไรไปที่ข้างหู
คนสนิทหมุนตัวจากไปอย่างรีบร้อน
“ไปกันเถอะ ไปเจอคุณชายรองผู้นี้เสียหน่อย เหอะๆ”
ต่งอวี่เฟยนำคนผลักประตูเดินเข้าไป
ก็แค่ลูกผู้ถูกทอดทิ้งที่ตัดความสัมพันธ์กับท่านเจ้าเมืองแล้ว ในใจของเขาไม่ได้เกรงกลัวอะไรนัก เขาเคยได้ยินข่าวลือบางอย่างมา ใต้เท้าเจ้าเมืองรังเกียจลูกชายคนนี้เป็นอย่างมาก ว่ากันว่าตอนนั้นหลังจากที่หลี่มู่ออกจากบ้าน ใต้เท้าเจ้าเมืองยังเคยส่งคนไปฆ่า คิดจะขุดรากถอนโคน แต่กลับหาตัวไม่เจอ ภายหลังจึงล้มเลิกไป
……
“ลูกแม่ ลูกชายที่น่าสงสารของแม่ ทำไมเจ้าจึงออกบวชเสียเล่า” มารดาหลี่มู่ดึงมือของเขาพลางถามอย่างร้อนรน
หลี่มู่ลุกขึ้นกล่าว “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ออกบวชเป็นพระ แค่ผมสั้นนิดหน่อยเท่านั้น…ลูกศึกษาเล่าเรียนสำเร็จ สอบได้เป็นจิ้นซื่อของจักรวรรดิ เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ตอนนี้ลูกเป็นขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์แห่งเมืองฉางอัน รับตำแหน่งเมื่อสามเดือนที่แล้ว หลังจากจัดการงานราชการในอำเภอเรียบร้อยก็มารับท่านทันที ท่านแม่ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ลูกจะปกป้องท่านแม่ไม่ให้ใครหน้าไหนมารังแกท่านเด็ดขาด”
ในตอนนี้เอง…
“เหอะๆ คุยโวโอ้อวดยิ่งนัก ขุนนางเมืองตำแหน่งเล็กๆ กล้ามาสังหารคนในเมืองฉางอัน คิดว่าเป็นขุนนางแล้วจะไม่มีใครจัดการเจ้าได้แล้วหรืออย่างไร?”
ต่งอวี่เฟยหัวเราะเสียงเย็นพลางนำมือปราบชุดเกราะติดอาวุธครบครันบุกเข้ามา
เห็นขุนนางทหารพวกนี้ปรากฏตัวขึ้น ชุนเฉ่าตื่นตระหนกทันที
นางจำได้ ขุนนางร่างอ้วนที่เป็นหัวหน้าคนนั้นคือสหายสนิทของเจิ้งเทียนเหลียง มักจะมาที่คฤหาสน์เจิ้งบ่อยๆ ทั้งสองคนนับถือเป็นพี่เป็นน้องกัน
หลี่มู่ขมวดคิ้ว หันหน้ากลับไปพูด “ไสหัวออกไป”
ต่งอวี่เฟยอึ้งงัน จากนั้นก็เดือดดาล “หลี่มู่ เจ้าว่าอย่างไรนะ เจ้า…”
โครม!
หลี่มู่พลิกมือซัดหมัดออกไป
ปราณหมัดราวคลื่นคลั่งถาโถม ดุจพายุหมุนบนผืนดิน ต่งอวี่เฟยและมือปราบเสื้อเกราะที่อยู่ข้างหลังล้วนมีพลังฝึกวิถียุทธ์ในกายอยู่บ้าง แต่เสี้ยวขณะนี้รู้สึกแค่ขาดอากาศหายใจ ราวกับมีคลื่นยักษ์ซัดมาหอบม้วนออกไปโดยไม่อาจฝืนต้านทานได้ ก่อนลอยข้ามกำแพงเรือนไปร่วงระเนระนาดอยู่นอกกำแพง
“นี่…”
ต่งอวี่เฟยร้องครางพลางลุกยืนขึ้น ในใจตื่นตระหนก
หลี่มู่คนนี้ เหตุใดพลังจึงน่ากลัวถึงขนาดนี้?
แค่หมัดเดียวเท่านั้นก็โจมตีพวกตนยี่สิบคนจนกระเด็น ขั้นตอนนี้ราวกับเรื่องล้อเล่นอย่างไรอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่า หลี่มู่ยังควบคุมพลังเอาไว้ ไม่อยากฆ่าคน หากไม่ยั้งมือแล้วละก็ เช่นนั้นตอนนี้พวกตนได้กลายเป็นศพเกลื่อนพื้นแล้วมิใช่หรือ?
ครั้นตระหนักได้ถึงจุดนี้ ต่งอวี่เฟยรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
จังหวะนี้ไม่ถูกต้องสิ
เหตุที่คืนนี้เจิ้งเทียนเหลียงหาเรื่องมารดาหลี่มู่ ที่จริงแล้วต่งอวี่เฟยพอจะรู้มาบ้าง นั่นคือข้างหลังมีผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งบงการให้เจิ้งเทียนเหลียงทำเช่นนี้ มิฉะนั้น เจิ้งเทียนเหลียงที่เป็นแค่พ่อค้าเศรษฐีคนหนึ่งในเขตตะวันตกคงไม่กล้าลงมือกับมารดาของหลี่มู่จริงๆ อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า[1] ถึงอย่างไรมารดาของหลี่มู่ก็เป็นภรรยาเก่าเจ้าเมือง
แต่เดิมคิดว่าก็แค่มาทำท่าทำทางไปอย่างนั้น แต่ตอนนี้…
ขุนนางเมืองเล็กๆ คนหนึ่งอยู่ในเมืองฉางอันไม่ต่างอะไรกับมดปลวก คนที่สามารถจัดการเขาได้มีมากมายนัก แต่ขุนนางเมืองผู้นี้กลับเป็นยอดฝีมือที่พลังน่ากลัวถึงขนาดนี้ เช่นนั้นก็เป็นปัญหาเสียแล้ว
ต่งอวี่เฟยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขยับเนื้อขยับตัว ยืนอยู่นอกกำแพงเรือนไม่กล้าเข้าไปแล้ว
ถึงอย่างไรก็ส่งข่าวไปเรียบร้อย
ตอนนี้คิดว่าผู้สูงศักดิ์คนนั้นคงจะได้รับข่าวแล้ว ต่อไปจะทำอย่างไร ก็แล้วแต่ท่านผู้นั้นจะตัดสินใจเถอะ ถึงแม้เขาจะอยากได้รับความสำคัญจากผู้สูงศักดิ์ท่านนั้น แต่ก็ไม่อยากพุ่งโจมตีอยู่ด่านหน้า ถึงอย่างไรนกที่บินก่อนก็ตายก่อน ขื่อที่ตีขึ้นก่อนย่อมผุพังก่อนอยู่แล้ว
……
ข้างในเรือน เจิ้งฉุนเจี้ยนกุมขมับไร้คำพูด
ก็ยังคง…รุนแรงแบบนี้
ก่อนหน้าที่จะมาถึงฉางอัน เขาเห็นหลี่มู่ท่าทางเอ้อระเหยสบายๆ ยังคิดว่านายท่านผู้นี้ในใจมีแผน ตระเตรียมการทุกอย่างเอาไว้แล้ว แต่ว่าตอนนี้ดูไป นายท่านผู้นี้ไม่มีแผนอะไรเลย เหตุที่ไม่ใส่ใจก็เพราะเขาไม่หวาดกลัวและพะวงกับสิ่งใดทั้งนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา