จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 148

หรือในเวลาสั้นๆ สองเดือน หลี่มู่จะฝึกจากขั้นปรมาจารย์ไปจนถึงขั้นยอดปรมาจารย์ได้?

หวางเฉินอึ้งตะลึงกับสิ่งที่ตนอนุมานออกมา

เวลาภายในสองเดือน จากปรมาจารย์ถึงยอดปรมาจารย์?

หวางเฉินก็รู้เช่นกัน การคาดเดาของตนเหลวไหล น่าหัวเราะ และเหลือเชื่อนัก

แต่ไม่รู้ทำไม ลึกๆ ในใจเขากลับรู้สึกว่าการคาดเดานี้ของตนเองอาจจะเผยข้อเท็จจริงของเรื่องออกมาแล้ว

แน่นอน เขาไม่มีทางพูดการคาดเดานี้ออกมา

เพราะพูดออกมาก็ไม่มีใครเชื่อ

กลั่นกรองคำพูดของตนให้ดีแล้ว หวางเฉินก็ลองเอ่ยปากแนะนำ “องค์หญิง กระหม่อมเคยสังเกตหลี่มู่ผู้นี้ เห็นว่าเขามีใจผดุงคุณธรรมนัก เคยช่วยประชาชนในอำเภอกำจัดพรรคเสินหนง หากพวกเราทำให้เขาเห็นใจและรู้ถึงเหตุผล บางทีเขาอาจลงมือช่วยพวกเราช่วยเหลือภรรยาและลูกของขุนพลถัง…”

ฉินเจินส่ายหน้า “เรื่องใดๆ ก็แล้วแต่ อย่าได้ฝากความหวังไว้กับคนและเรื่องที่พวกเราไม่มั่นใจ หลี่มู่คนนี้ละโมบโลภมาก ไร้คุณธรรม พลังยิ่งแข็งแกร่ง อันตรายก็ยิ่งมาก หากฝากความหวังไว้ที่เขา บางทีอาจจะทำร้ายภรรยาและลูกของขุนพลถังได้ ไม่สู้หาผู้ช่วยเหลือคนอื่นยังดีกว่า ข้าติดต่อสหายบางคนในเมืองฉางอันไว้ เตรียมการได้ประมาณหนึ่งแล้ว”

หวางเฉินคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงจะอคติกับหลี่มู่มากถึงเพียงนี้ ได้ยินว่าหลี่มู่กลายเป็นยอดปรมาจารย์แล้วก็ยังต่อต้านอย่างดื้อดึงเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ลักษณะขององค์หญิงอย่างที่ผ่านมาเลย ต่อให้เรื่องล่าสัตว์ฤดูวสันต์จะกระทบกระเทือนต่อองค์หญิงอย่างใหญ่หลวง ก็ไม่ควรเป็นแบบนี้เลย

เหตุผลที่แท้จริงคืออะไรกันแน่?

หวางเฉินเดาไม่ค่อยออกแล้ว

ฉินเจินกล่าวขึ้น “ทางหน่วยเลี้ยงรับรองมีข่าวอะไรส่งมาบ้างหรือไม่?”

“นางฉินภรรยาขุนพลถัง ลูกสาวคนโตถังถัง ลูกสาวคนเล็กถังมี่ ถูกส่งไปยังหน่วยเลี้ยงรับรองหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ หลังจากนี้หกวันจะถูกประมูลขายพร้อมกับทาสสาวจากที่ราบทุ่งหญ้า ผู้ให้ราคาสูงสุดได้ไปครอง หัวหน้าของหน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอันหลิวเฉิงหลงประกาศแล้วว่าหากอยากเข้าร่วมการประมูลครั้งนี้ จะต้องวางเงินมัดจำหนึ่งหมื่นตำลึงทองเสียก่อน ทั้งยังต้องยืนยันตัวตนด้วย” หวางเฉินเอ่ย “องค์หญิง หลิวเฉิงหลงคนนี้เป็นคนของคนผู้นั้น เรื่องนี้เกรงว่ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่”

“ขุนพลถังปกป้องรักษาชายแดนทางเหนือมาหลายปี คุณูปการมากล้นดุจขุนเขา เพียงแต่ผดุงความยุติธรรมจึงโดนให้ร้าย คนในครอบครัวก็ไม่อาจรอดพ้น ภรรยาและลูกไร้ซึ่งความผิดเพียงนั้น…จักรวรรดิในวันนี้ใกล้จะเน่าเฟะแล้ว” ดวงตาของฉินเจินฉายแววโกรธเคือง “ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องช่วยคนให้ได้ เจ้าไปเตรียมการเถอะ พวกเราจะเข้าร่วมงานประมูลด้วย”

หวางเฉินพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ”

เข้าร่วมงานประมูล เป็นตัวเลือกที่ดีข้อหนึ่งจริงๆ

เดิมทีแผนของพวกเขาคือลงมือก่อนที่พวกนางจะถูกส่งมายังหน่วยเลี้ยงรับรอง แต่คิดไม่ถึงว่าในหมู่คนที่ควบคุมตัวนางฉินและลูกสาวทั้งสองจะมียอดฝีมือขั้นยอดปรมาจารย์รักษาการณ์อยู่ ทำให้แผนการก่อนหน้านี้ล้มเหลว แผนในวันนี้จึงทำได้แค่เข้าร่วมการประมูลเท่านั้น หากจ่ายเงินช่วยคนออกมาได้จะเป็นการลงทุนน้อยที่สุด

แน่นอน หวางเฉินรู้สึกได้เลาๆ ว่าไม่มีทางง่ายดายแบบนั้น

……

คฤหาสน์หลังเล็กอีกหลังที่อยู่ห่างจากที่พักขององค์หญิงฉินเจินไปหนึ่งถนน การระวังป้องกันแน่นหนา

มีทหารชุดเกราะร้อยนายซ่อนอยู่ข้างใน

หน้าตาของทหารเหล่านี้ไม่เหมือนกับคนฉิน ส่วนมากมีหนวดเครา รูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรงกำยำ โหนกแก้มสูง แขนขาทรงพลัง พกดาบสีเดียวกันทั้งหมด ที่หลังแบกธนูไว้ ข้างเอวมีกระบอกใส่ธนู ในกระบอกมีธนูเหล็กเขี้ยวหมาป่า ฝ่ามือของทุกคนมีหนังด้านหนา โดยเฉพาะนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลางที่หนังด้านเป็นสีเหลืองราวกับหนังที่ตายแล้ว

การแต่งกายเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ดูออกทั้งนั้นว่าเป็นคนจากที่ราบทุ่งหญ้าแน่นอน

อีกทั้งยังเป็นยอดฝีมือนักธนูของทุ่งหญ้าด้วย

การป้องกันของทั้งคฤหาสน์ข้างนอกหละหลวม ข้างในแน่นหนา บรรยากาศตึงเครียดเป็นอย่างมาก

ในโถงหลักของเขตเรือนด้านหน้า ชายฉกรรจ์จากทุ่งหญ้าที่ร่างกำยำกลิ่นอายพลังแข็งแกร่งหลายคนกำลังประชุมลับกันอยู่

“ไม่เสียดายว่าต้องจ่ายสิ่งใด ช่วยชิงเยียนและองครักษ์หญิงของนางออกมาให้ได้ บุตรสาวที่เยี่ยมยอดที่สุดของเทพหมาป่าจะตกอยู่ในเงื้อมมือหน่วยเลี้ยงรับรองของคนฉินได้อย่างไร ช่างทำให้เทพหมาป่าอับอายนัก” คนที่พูดเป็นหัวหน้าของชายจากที่ราบทุ่งหญ้าเหล่านี้ ดูแล้วเป็นชายสูงเจ็ดฉื่อกว่าราวเจดีย์เหล็ก ผมยาวหยิกดกหนาถักเป็นเปียไว้ข้างหลัง เสียงพูดดุจระฆัง

“แต่ได้ยินมาว่าในหน่วยเลี้ยงรับรองของพวกคนฉินไม่ได้มียอดฝีมือขั้นยอดปรมาจารย์คอยดูแลแค่คนเดียว หากฝืนโจมตีละก็…” ชายหน้าบากถักเปียสองข้างที่อยู่ข้างหลังเอ่ยอย่างลังเล

“ฮ่าๆ ใครว่าพวกเราจะโจมตี พวกเราใช้ไหวพริบปัญญาได้นี่?”

“แต่ว่าพวกเราชาวทุ่งหญ้าในสมองมีมัดกล้ามมากกว่ารอยหยัก พูดถึงเรื่องวางแผนซ่อนกลก็สู้พวกคนฉินไม่ได้ จะใช้ไหวพริบอย่างไร?”

“ง่ายจะตายไป ใช้ดาบฟันฝ่าเข้าไปก็ได้แล้ว ใครกล้าขวางฟันให้ตายทั้งหมด…เป็นอย่างไร นี่ถือว่าใช้ไหวพริบแล้วกระมัง?”

“ถุย ทั่วป๋าซานสือ เจ้านับว่าใช้ไหวพริบอะไรล่ะ ข้าว่าน่าจะแอบปะปนเข้าไป ฉวยโอกาสที่พวกคนฉินไม่ระวังตัวฆ่าพวกมัน แล้วช่วยธิดาเทพชิงเยียนกับองครักษ์หญิงออกมา นี่สิถึงจะใช้ไหวพริบ”

ชายกำยำต่างคนต่างพูด หารือกันอยู่นานก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้

ในบรรดาคนกลุ่มนี้ มีชายหนุ่มท่าทางคล้ายบัณฑิตผู้เดียวที่ดูแล้วเหมือนจะปกติที่สุด เขาสวมชุดคลุมผ้าฝ้าย แตกต่างจากชายป่าเถื่อนพวกนี้อย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนคนฉินมากกว่า เมื่อฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า พูดในใจว่าสมองของชายจากทุ่งหญ้ามีแต่มัดกล้ามจริงๆ ด้วย หากใช้วิธีนี้ช่วยออกมาได้จริง เช่นนั้นยังต้องซ่อนอยู่ที่นี่นานขนาดนี้เสียที่ไหนกัน

ชายเหมือนเจดีย์เหล็กที่เป็นหัวหน้าคนนั้นปวดหัวเป็นระลอกๆ

“กุนซือ ท่านพูดดีกว่า พวกเราควรจะทำอย่างไรดี” เขามองมายังชายหนุ่มชุดคลุมผ้าฝ้าย

ชายหนุ่มหัวเราะ กล่าวว่า “หน่วยเลี้ยงรับรองประกาศว่าหกวันหลังจากนี้จะจัดงานประมูล วิธีที่ดีที่สุดของพวกเราคือได้รับสิทธิ์เข้าประมูลครั้งนี้ แล้วช่วยคนออกมา แบบนี้ทั้งชนะได้โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ทั้งยังหลีกเลี่ยงไม่ให้เหล่าองครักษ์หญิงบาดเจ็บด้วย”

“ใช่แล้ว ทำไมข้าถึงคิดไม่ออกกันนะ”

“หากเจ้าคิดวิธีของกุนซือออกมาได้ เช่นนั้นเจ้าก็เป็นกุนซือแทนแล้ว”

“หุบปาก ฟังท่านกุนซือพูดต่อ”

ชายกำยำกลุ่มนี้ทะเลาะกันขึ้นมาอีก

ชายหนุ่มชินชา รอพวกเขามองมายังตนถึงจะพูดต่อ “ตอนนี้ ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือพวกเราไม่มีเงิน หากอยากประมูลแข่งกับชนชั้นสูงไร้หัวคิดใช้เงินเป็นเบี้ยพวกนั้น ก็ต้องหาวิธีเอาเงินก้อนโตมา”

“เงิน?”

“ตอนพวกเรามาได้เอาเงินมาด้วยหรือไม่?”

“เอามา แต่ว่าก้อนโตไม่พอ”

“เช่นนั้นทำอย่างไรดี”

“พวกเราออกไปปล้นกันเถอะ”

“รนหาที่ตายรึ ที่นี่เป็นถิ่นของพวกคนฉิน ออกไปปล้นจะไม่เป็นการเปิดเผยตัวตนหรือไร?”

“แล้วจะทำอย่างไร?”

“ฟังคำท่านกุนซือ”

กลุ่มชายกำยำโหวกเหวกโวยวาย สุดท้ายสายตาก็มองไปยังชายหนุ่ม

ในใจของกลุ่มชายที่ราบทุ่งหญ้า กุนซือหนุ่มผู้นี้มีบารมีสูงยิ่งนัก

กุนซือมองไปยังหัวหน้าแล้วเอ่ยว่า “ทำได้แค่ยืมเงินเท่านั้นแล้ว”

“ยืมเงิน? ยืมใคร?” หัวหน้าที่ตัวราวเจดีย์เหล็กขมวดคิ้ว เขาไม่มีคนรู้จักมักคุ้นในเมืองฉางอันนี่

กุนซือหนุ่มยิ้มบางๆ กล่าวอย่างมั่นใจ “ข้าจำได้ว่าใต้เท้าเคยร่วมดื่มสุรากับนายน้อยของสมาพันธ์การค้าใต้หล้า ทั้งยังรู้จักกันเป็นอย่างดี”

……

สมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผล

คฤหาสน์สกุลโจว

ประธานสมาพันธ์โจวเต๋อเต้า ตอนนี้กำลังสั่นสะท้านไปทั้งตัว

ยอดปรมาจารย์!

ที่แท้หลี่มู่คนนั้นเป็นขั้นยอดปรมาจารย์

เขารู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมา

สมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลล่วงเกินขั้นยอดปรมาจารย์ นี่มันเรื่องอะไรกัน ขนาดโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ยังโดนถล่ม สมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลของเขาจะเก่งกาจไปกว่าโรงฝึกยุทธ์นั่นหรืออย่างไร?

ต้องรู้ไว้ว่า โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์เทียบเท่ากับสำนักหนึ่งได้แล้ว ยอดฝีมือมีมากมายดั่งเมฆ ลูกศิษย์ที่อบรมสั่งสอนออกมามีความจงรักภักดีสูงมาก อีกทั้งยังมีสำนักกระบี่สวรรค์อยู่เบื้องหลัง นั่นคือคนใหญ่คนโตอย่างแท้จริงเชียว แต่สมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลเป็นเพียงสถาบันการเงินท้องถิ่นเท่านั้น ถึงแม้จะเปิดรับองครักษ์ ครูฝึก และผู้คุ้มกันเอาไว้มากมาย ซ้ำยังมีก้งเฟิ่งขั้นปรมาจารย์อีกสองคน ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์ก็ยังไม่มากพอ

แค่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์สกุลโจว โจวเต๋อเต้าก็เหงื่อไหลท่วมอย่างควบคุมไม่ได้

ตอนนั้น ตนโหวกเหวกประกาศให้รางวัลค่าหัวยอดฝีมือขั้นยอดปรมาจารย์ พูดข่มขู่ไปต่างๆ นานา ตอนนี้ดูแล้ว นั่นมันรนหาที่ตายชัดๆ เดินวนอยู่หน้ายมบาลแล้วยังไม่รู้ตัวอีก

“เจ้าลูกเวรนี่ไปล่วงเกินศัตรูที่น่ากลัวขนาดนี้เสียได้ ไม่ได้การ จะต้องหาวิธีไปขอโทษหลี่มู่”

โจวเต๋อเต้าหงอเสียแล้ว

พ่อค้า แต่ไหนแต่ไรมาล้วนให้ความสำคัญกับการ ‘อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข’ เมื่อเจอผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตนก็หัวหดเร็วกว่าเหล่าจอมยุทธ์นัก

ตอนนี้เอง สาวใช้คนหนึ่งวิ่งหายใจกระหืดกระหอบเข้ามา “นายท่าน นายท่าน ฮูหยินให้ท่านรีบกลับไปยังเรือนด้านหลังโดยเร็ว คุณชาย…คุณชายคลุ้มคลั่งแล้วเจ้าค่ะ”

“อะไรนะ?”

โจวเต๋อเต้าหน้าเปลี่ยนสี

เขารีบร้อนมาถึงเรือนด้านหลัง ได้ยินเสียงร้องโหยหวนครวญครางราวหมูถูกเชือดมาแต่ไกล

“อ๊าก ข้าทนไม่ไหวแล้ว เจ็บ เจ็บจะตายอยู่แล้ว…ท่านแม่ ท่านแม่ รีบไปเชิญหมอมาเร็วเข้า…ข้าจะตายอยู่แล้ว…” โจวอวี่ผมสยายรุงรังเหมือนคนบ้า ร้องครวญครางพลางดิ้นรนอยู่ในห้อง ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยเลือดที่จิกข่วนตัวเองหลายจุด ต่อให้ถูกมัดอยู่บนเตียงก็ยังดิ้นรนสุดชีวิต

“เกิดอะไรขึ้น?” โจวเต๋อเต้าถาม

ยังพูดไม่ทันจบ ฮูหยินโจวก็พุ่งมาร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านพี่ ท่านต้องช่วยอวี่เอ๋อร์นะ ท่านมีเขาเป็นลูกชายแค่คนเดียว ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา ข้าก็จะไม่อยู่ต่อไปแล้ว…”

โจวเต๋อเต้าปวดหัวยิ่งนัก “ร้องไห้อะไรกัน ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น อวี่เอ๋อร์เป็นอะไรไปกันแน่?”

“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ฮือๆๆ หนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้เขาเริ่มค้นไปทั่วตัว เชิญหมอมาเขียนใบสั่งยาให้ แต่ก็ไม่ได้ผล จากนั้นก็เจ็บปวดอย่างมาก ฮือๆ อวี่เอ๋อร์ทรมานจนใกล้จะเป็นบ้าแล้ว…” ฮูหยินโจวโดยปกติแล้วอยู่เรือนด้านหลังก็เป็นคนโหดเหี้ยม แต่ตอนนี้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ลูกชายสุดที่รักเป็นแบบนี้ นางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

โจวเต๋อเต้ามองไปยังหมอที่อยู่ในห้อง เป็นหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองผู้หนึ่ง จึงถามว่า “ลูกชายของข้าเป็นโรคอะไรกัน?”

หมอที่มีชื่อคนนั้นสายหน้า “ข้าไร้ความสามารถ ไม่อาจวินิจฉัยออกมาได้ ชีพจรของคุณชายปกติ เลือดลมไหลเวียน ปอดตับปกติ ใบหน้าดวงตาไม่มีอาการผิดปกติ ตามหลักแล้วไม่เป็นโรคอะไร แต่ท่าทางของเขา…ประธานสมาพันธ์โจว เกรงว่าลูกชายของท่านไม่ได้ป่วย แต่โดนวิชาเวทบางอย่าง ท่านลองคิดดูให้ดีๆ ลูกชายท่านช่วงนี้ไปล่วงเกินจอมเวทอะไรประเภทนี้หรือไม่?”

พูดจบ หมอผู้นั้นก็ขอตัวจากไป

นี่ไม่ใช่ขอบเขตที่เขาสามารถจัดการได้แล้ว

จอมเวท?

โจวเต๋อเต้ายืนอึ้งอยู่ที่เดิม

เขาคิดถึงเรื่องที่เรือนด้านหลังในจวนวันนี้ วิชาเวทหมื่นพันสายฟ้าซึ่งหลี่มู่สำแดง ราวกับเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น น่ากลัวเป็นที่สุด ประหนึ่งว่าวันสิ้นโลกมาเยือน…เห็นได้ชัดว่าหลี่มู่ที่เป็นขั้นยอดปรมาจารย์คนนี้คือยอดฝีมือจอมเวท

หลี่มู่จะต้องทำอะไรกับลูกชายของเขาแน่ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ

ระหว่างคิด เขาได้ยินเสียงร้องน่าเวทนาของลูกชายก็ยิ่งลนลาน รีบร้อนพูดว่า “ใครก็ได้ เตรียมรถม้า เตรียมของขวัญ เตรียมของกำนัลล้ำค่า แล้วพาคุณชายตามข้าไปตรอกไล่หมู…เร็วเข้า”

เขาต้องไปขอขมาเสียแล้ว

……………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา