ไม่นานนักก็มีคนสิบกว่าคนไปเขียนกลอนของตนตามลำดับก่อนหลัง แต่ระดับสู้ชายอวดดีก่อนหน้านี้ไม่ได้ ไม่ใช่เพียงไม่ได้ชื่อเสียง แต่ผู้อื่นยังหัวเราะเยาะเอาด้วย จึงหน้าดำคร่ำเครียดเดินคอตกลงมา
บทประพันธ์ของสิบกว่าคนนี้ไม่มีผลงานของผู้ใดได้รับเลือกแขวนแสดง กลายเป็นเศษกระดาษถูกขยำโยนทิ้งถังขยะ ณ ตรงนั้น
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งก้านธูป มีคนท่าทางเหมือนพ่อค้าต่างถิ่นแต่งฉือสาวงาม มีคุณค่าทางด้านศิลปะสูงมาก ถึงแม้จะสู้ ‘ฉือยอดพธู’ ของชายอวดดีที่ไม่แต่งเนื้อแต่งตัวก่อนหน้านี้ไม่ได้ แต่กลับติดปาก ดังนั้นจึงได้รับเลือก ถูกแขวนเอาไว้บนที่สูงชั้นสอง
พ่อค้าต่างถิ่นดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนชายอวดดีแต่งตัวปอนๆ แค่นเสียงเย็น พูดอย่างไม่ปกปิดเลยแม้แต่น้อยว่า “เทียบอยู่กับเจ้า ช่างเป็นการย่ำยี ‘ฉือยอดพธู’ ของข้าซ่งชิงเฟยเสียจริง…”
พ่อค้าต่างถิ่นอึ้งไปทันที สีหน้าย่ำแย่
นี่เป็นเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่แทรกเข้ามา
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ก็มีบทประพันธ์ถูกคัดออกไปอีกยี่สิบกว่าบทตามลำดับ
หัวหน้าบัณฑิตของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ลุกยืนขึ้น ยิ้มน้อยๆ มายังหน้าโต๊ะด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ก่อนยกพู่กันตวัดไปราวกับหงส์ร่อนมังกรรำ
สายตาของหลายคนจับไปบนโต๊ะ
ชื่อเสียงของลูกศิษย์สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์พอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง
เห็นบนกระดาษของหลินชิวสุ่ยเขียนเอาไว้ว่า ‘ขุนเขาโอบเมืองเก่ายังคงอยู่ ฝนพรั่งพรูฉางอันเหงาจับจิต จันทร์ลอยเด่นเหนือลำน้ำบูรพาทิศ ทอแสงกลางคืนมืดมิดมิรู้คลาย’ เขียนเสร็จก็ยิ้มน้อยๆ วางท่าเต็มที่ ไม่รอให้ผู้ดูแลที่วิจารณ์บทประพันธ์เอ่ยปาก ก็เดินตรงไปยังโต๊ะผู้ผ่านการคัดเลือกทันที
“บทประพันธ์ไพเราะนัก”
“ทั้งบทไม่มีคำเกี่ยวกับสตรี แต่กลับสะท้อนอารมณ์ความคิดของสตรีไว้บนกระดาษได้อย่างชัดเจน ความสามารถด้านกาพย์กลอนของศิษย์พี่หลินถึงขั้นเชี่ยวชาญแล้ว”
“ฮ่าๆ เขียนกลอนนี้ออกมา จะต้องเป็นที่หนึ่งของคืนนี้แน่ เหมาะกับเวลาเข้ากับบรรยากาศ”
เสียงชื่นชมดังขึ้นรอบด้าน ศิษย์สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์คนอื่นๆ ก็ทำหน้าที่รับส่งบทได้ดี กล่าวชมอย่างเกินหน้าเกินตา
ความลึกซึ้งด้านกวีของหลี่มู่ไม่มาก ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของเมืองฉางอันก็มีไม่เยอะ แต่พอจะมองออกได้คร่าวๆ ว่ากลอนบทนี้ไม่เลวจริงๆ หัวหน้าสำนักบัณฑิตยังมีความสามารถอยู่
ผลการวิจารณ์คือกลอนบทนี้ได้รับเลือกดังคาด
หลินชิวสุ่ยพอใจและได้ใจมาก
ระหว่างนั้น ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้น หัวหน้าสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์หลิวมู่หยางลุกขึ้นยืน “ก็ไม่เท่าไหร่” เขาเดินไปยังโต๊ะ หยิบพู่กันขึ้นมา ตวัดเขียนบทกลอนที่รูปแบบต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ความว่า ‘ราตรีเงียบเหงาเศร้าสลดจิต ลั่นดาลพิศจันทราส่องสว่าง ใจอ้างว้างอยากระบายทุกข์แต่สุดปัญญา มิวายเกรงบ่าวรับใช้เบื้องหน้าปากไว จำต้องเก็บไว้แน่นอุรามิกล้าเอ่ย’
ครั้นแต่งกลอนบทนี้ออกมา ศิษย์สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ก็เอ่ยชมว่ายอดเยี่ยมเสียงดัง สำนึกหน้าที่รับส่งบทไม่ด้อยกว่าคนของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์เลย คนรอบๆ บางคนก็เอ่ยชมเสียงดังเช่นกัน
นี่คือ ‘กลอนจันทราเคียงโฉมงาม’ เห็นภาพชัดเจนยิ่ง เหมือนกับกลอนของหลินชิวสุ่ยที่ไม่เขียนว่าผู้หญิงแม้แต่คำเดียว แต่กลับบรรยายอารมณ์ความคิดของสตรีที่แตกต่างกัน กลอนของหลิวมู่หยางบทนี้บรรยายถึงหญิงงามที่อยู่ใต้แสงจันทร์อย่างชัดเจน ความคิดถึงที่อยากพูดแต่เหนียมอายไม่กล้าเอ่ย ก็เขียนออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
กลอนสองบท สองท่วงทำนอง
หลิวมู่หยางเขียนเสร็จก็อมยิ้มปรายตาท้าทายหลินชิวสุ่ย แล้วเดินไปยังโต๊ะที่ผ่านการคัดเลือกแล้วเช่นกัน
หลังจากนั้น หญิงผู้ดูแลก็ประกาศผลวิจารณ์กลอน กลอนบทนี้ผ่านการคัดเลือกจริงๆ
หลังจากนั้นก็มีอีกหลายสิบคนส่งมอบบทกลอนไปตามลำดับ แต่ระดับช่างต่างกันนัก แม่นางฮวาเสี่ยงหรงที่อยู่บนชั้นสามกระทั่งไม่ร่วมวิจารณ์ด้วยอีกต่อไป เป็นหญิงผู้ดูแลของหอสดับเซียนทั้งหลายวิจารณ์คัดเลือกแทน พอจะฝืนเลือกมาห้าบทได้ นับว่าผ่านการคัดเลือกและนำไปแขวนเอาไว้
นี่ก็เพราะบทกวีของชายอวดดีชื่อซ่งชิงเฟยและหลินชิวสุ่ยกับหลิวมู่หยาง ยกระดับมาตรฐานทั้งหมดของคืนนี้ นับว่าผลงานชิ้นเอกวางอยู่ต่อหน้าแล้ว แต่งออกมาได้เยี่ยมนัก คนที่มาทีหลังถึงแม้จะแสดงศักยภาพเกินมาตรฐานโดยรวมของวัน แต่ก็ทำให้เหล่าผู้ชมพอใจได้ยาก โดยเฉพาะหญิงผู้ดูแลของหอสดับเซียน ทุกคนล้วนเป็นสาวงามที่รู้เรื่องกาพย์กลอนพื้นฐาน การวิจารณ์บทประพันธ์ย่อมยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง บางคนอยากจะลองดูก็ไม่กล้าขึ้นไปแสดงฝีมืออันต่ำต้อย
สุดท้าย แต่เดิมที่ควรจะเลือกกลอนได้สิบบทเข้าสู่รอบตัดสิน กลับเลือกได้เพียงเก้าบท ไม่มีกลอนที่ได้รับเลือกอีก
บรรยากาศจืดชืดลงเล็กน้อย
“คุณชาย ไยจึงไม่แต่งกลอนสักบทแสดงความสามารถออกมา?” เจิ้งฉุนเจี้ยน ‘ยุ’ หลี่มู่คล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้ตั้งใจ “ด้วยความสามารถของคุณชาย จะต้องได้ที่หนึ่งแน่นอน อย่าให้พวกไร้ประโยชน์พวกนี้ได้ใจไป”
คำพูดของเขาเสียงดังไม่น้อย
คนทั้งหลายในโถงใหญ่ล้วนได้ยิน ต่างหันหน้ามองมา
หญิงผู้ดูแลคนที่ก่อนหน้านี้ไป๋เซวียนกำชับไว้ สายตาหยุดอยู่ที่หลี่มู่ เดินยิ้มหวานเข้ามาหา “คุณชาย เหตุใดไม่แสดงความสามารถสักหน่อย?” นางหวังดี เป็นการเตือนด้วยความปรารถนาดี ก่อนหน้านี้ไป๋เซวียนสั่งเอาไว้ ต่อให้หลี่มู่เขียนบทประพันธ์อะไรดีๆ ออกมาไม่ได้ก็ถูไถให้เข้ารอบไป เติมจำนวนที่เหลือสุดท้ายให้ครบ นับว่าเป็นการไว้หน้าหลี่มู่แบบเงียบๆ
แต่คนอื่นไม่คิดเช่นนั้น
บัณฑิตของสำนักเสียงวิหคสวรรค์และเขาเหมันต์หัวเราะลั่นขึ้นมาก่อน
“ในเมื่อมาแล้วก็ให้โอกาสเจ้าหน่อยแล้วกัน ขึ้นไปบนเวทีแต่งกลอนเถิด” หลินชิวสุ่ยมีสีหน้าสะใจบนความทุกข์ของผู้อื่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา