จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 156

เมื่อหลี่มู่เขียนประโยคแรก คนทั้งโถงใหญ่ต่างหัวเราะเยาะเขา

ทว่า เมื่อเขาเขียนเสร็จทุกคนต่างเงียบกริบ

เพราะไม่จำเป็นต้องวิจารณ์ ใครก็ดูออกว่าสุดท้ายแล้วกลอนหญิงงามบทนี้ ไม่ว่าจะเป็นความหมายหรือตัวอักษร ต่างก็บดขยี้กลอนบทอื่นทั้งเก้าบท ต่อให้เป็นกลอนสามบทของชายอวดดีซ่งชิงเฟย หัวหน้าสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์หลินชิวสุ่ย หรือหัวหน้าสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์หลิวมู่หยาง เมื่ออยู่ต่อหน้ากลอนหญิงงามบทนี้ก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว

‘เพียงแรกเหลียวมองล่มนครา ชายตาอีกคราจมเมือง’

ช่างเป็นประโยคทองที่หายากยิ่งนัก

หลายคนแอบวิเคราะห์กลอนบทนี้ในใจ ทุกครั้งที่อ่านในใจจะเกิดความรู้สึกรับรู้ที่ต่างออกไป ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ราวกับอ่านได้ไม่รู้เบื่อไม่จบไม่สิ้น และจมอยู่กับท่วงทำนองนั้นอย่างห้ามไม่ได้

ในขณะที่ทุกคนเงียบงันเพราะความอึ้งตะลึง สาวใช้หน้าตางดงามคนหนึ่งลงมาจากชั้นสาม วิ่งตุบๆ นำกลอนที่สาวใช้คัดลอกเสร็จเรียบร้อยไปทั้งๆ ที่หมึกยังไม่แห้ง ก่อนจากไปยังมองหลี่มู่อย่างแปลกใจแวบหนึ่ง

ทุกคนรู้ดี แม่นางฮวาอาจจะหวั่นไหวเข้าแล้ว

คงไม่มีหญิงคนใดที่ยังรักษาความสงบนิ่งไว้ได้เมื่ออยู่ต่อหน้ากลอนบทนี้

เจิ้งฉุนเจี้ยนนั่งอยู่ข้างโต๊ะกลม ในใจวิเคราะห์กลอนบทนี้ไปสิบกว่ารอบแล้ว ทุกครั้งที่วิเคราะห์ ความตื่นตะลึงในใจจะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน นี่คือความสามารถของจิ้นซื่อที่อายุน้อยที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิอย่างนั้นหรือ? ต่อให้ก่อนหน้านี้คาดหวังในตัวหลี่มู่มากอยู่แล้ว ตอนนี้ในใจเขาก็ยังชื่นชมไม่หยุด รู้สึกตนสู้ไม่ได้จริงๆ

ต้องรู้ไว้ว่า ผู้คนขนานนามเจิ้งฉุนเจี้ยนว่า ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ หมายความว่าตัวเขาแต่เดิมมีตำแหน่งซิ่วไฉอยู่แล้ว ซิ่วไฉก็คือชายมีความสามารถที่ได้ศึกษาเล่าเรียน ดังนั้นเขาย่อมเข้าใจถึงความหมายและเสน่ห์ของกลอนสาวงามบทนี้

ทีแรกก็ ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ ต่อมาเป็น ‘กลอนสาวงาม’ ไม่ว่าเป็นใครก็มากพอที่จะชื่อก้องทั่วฉินตะวันตก ต่อให้หลี่มู่ไม่ใช่ยอดปรมาจารย์ก็ก้าวหน้ารุ่งโรจน์ได้

เจิ้งฉุนเจี้ยนสามารถจินตนาการได้ว่า หากกลอนสาวงามบทนี้เผยแพร่ออกไปจะสร้างความฮือฮาแบบใด ต้องไม่ด้อยไปกว่า ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ ก่อนหน้านี้แน่นอน

ชั้นสาม คำวิจารณ์จากแม่นางฮวายังไม่ถ่ายทอดลงมา

แต่คนทั้งหลายในหอสดับเซียนคืนนี้ต่างรู้ดี น่ากลัวว่าครั้งนี้แม่นางฮวาคงจะได้เผยตัวแล้วจริงๆ ไม่เหมือนหลายครั้งก่อนหน้านี้ที่แค่แสดงไปอย่างนั้น

“เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะเขียนกลอนแบบนี้ออกมาได้อย่างไร?” ชายอวดดีซ่งชิงเฟยมีสีหน้าเหี้ยมเกรียม ตะคอกเสียงดังอย่างอดไม่ได้

หัวหน้าสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์หลินชิวสุ่ยก็จ้องหลี่มู่เขม็ง พูดขณะกัดฟันกรอด “ท่านเป็นใครกัน?”

หลิวมู่หยางที่เป็นดาวเด่นอีกคนหนึ่งก็มองหลี่มู่ด้วยสายตาราวมองศัตรู หรี่ตาพลางประสานมือคารวะ “ยังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของท่านเลย?”

ในโถงใหญ่ สายตาของหลายคนก็หยุดอยู่ที่หลี่มู่เช่นกัน ต่างกลั้นหายใจรอคำตอบ

พวกเขาก็อยากรู้ว่ากลอนเช่นนี้เป็นผลงานของใครกันแน่

แต่หลี่มู่หน้าตาเรียบเฉย มือไพล่อยู่ข้างหลัง พูดขึ้นว่า “พวกเจ้ายังไม่คู่ควรที่จะรู้ชื่อข้า”

การวางท่านี้ทำได้ไม่เป็นธรรมชาตินัก

แต่สำหรับพวกหลิวมู่หยางทั้งสามคน นับเป็นการตบหน้ากันชัดๆ

กาพย์กลอนสู้เขาไม่ได้ก็ทำให้อับอายจนแทบโกรธอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกหยามหมิ่นอย่างอวดดีแบบนี้อีก นี่ช่างเหมือนมีคนใช้พื้นรองเท้าตบหน้าของพวกเขากันโต้งๆ

“อวดดี อวดดีอย่างไม่มีขอบเขตจริงๆ” บัณฑิตเหมือนลูกฟักอ้วนป้อมจากสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ที่เคยเอ่ยปากดูถูกหลี่มู่ตบโต๊ะตวาด “ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์หนุ่มหลี่มู่ที่แต่ง ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ ก็ไม่มีทางหยามหมิ่นสำนักบัณฑิตของพวกเราแบบนี้ เจ้าเป็นแค่บัณฑิตยากจน มีดีอะไรถึงได้กล้ากำเริบเช่นนี้?”

“ใช่แล้ว สันดานคนก็เหมือนระดับงานประพันธ์ คนอวดดีที่ในสายตาไม่มีผู้อื่นจะแต่งกลอนแบบนี้ได้อย่างไร หรือว่าไปลอกมาจากไหน?” บัณฑิตอีกคนจากสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ยืนขึ้นตวาดเช่นกัน อุบายสาดโคลนใส่คนอื่นเมื่อสู้ไม่ได้ พวกเขาที่เป็นบัณฑิตเหล่านี้เชี่ยวชาญเป็นที่สุดแล้ว

บัณฑิตคนอื่นบางคนก็ตะโกนโวยวาย

ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างมองกันเป็นศัตรู ตอนนี้กลับคั่งแค้นศัตรูคนเดียวกันเสียได้

ศิษย์สำนักยุทธ์กระบี่สวรรค์ห้าหกคนพวกนั้นมองตากัน สุดท้ายสายตาหยุดอยู่ที่เจิ้งฉุนเจี้ยน ลูกศิษย์ที่เป็นหัวหน้าคนนั้นถามไปโต้งๆ “นี่ สหายของเจ้ามีที่มาที่ไปอย่างไร?” พูดตามตรง ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ แท้จริงแล้วพวกเขาดูถูกบัณฑิตพวกนี้ แต่ละคนพูดว่าเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ แต่วิชายุทธ์ที่บัณฑิตพวกนี้เอ่ยถึง เรียกว่าเป็นท่าร่ายรำยังจะเหมาะกว่า

เจิ้งฉุนเจี้ยนไม่สนใจพวกเขา

ใบหน้าของศิษย์สำนักกระบี่คนนั้นฉายแววโมโห ตบดาบยาวที่ข้างเอวลงบนโต๊ะ “ถามเจ้าอยู่ หูหนวกรึไง”

เจิ้งฉุนเจี้ยนยิ้มเย็นเยือก “ไม่อยากตายก็หุบปากเสีย”

“เจ้ามันรนหาที่ตาย” ลูกศิษย์สำนักกระบี่ต่างโมโหกันแล้ว

สายตาของเจิ้งฉุนเจี้ยนฉายประกายเย็นเยียบ “เจ้าพวกรนหาที่ตาย ต่อให้เป็นจางเฉิงเฟิงอยู่ต่อหน้าข้ายังไม่กล้าพูดแบบนี้ หากพวกเจ้าอยากตาย ข้าทำให้สมปรารถนาได้ทุกเมื่อ”

ครั้นกล่าวออกไป ลูกศิษย์สำนักกระบี่สวรรค์ก็หวาดหวั่นตกใจ

และพอดีกับเวลานี้ เด็กสาวหน้าตางดงามคนก่อนหน้านี้วิ่งตึกๆ ลงมาจากชั้นสาม ตรงดิ่งมายังเบื้องหน้าของหลี่มู่ ก่อนย่อกายทำความเคารพ “คุณชายท่านนี้ คุณหนูของข้าเชิญท่านขึ้นไปพบเจ้าค่ะ” จากนั้นก็หมุนตัวไปพูดกับคนอื่นๆ “คุณหนูของข้าขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานในคืนนี้ ขอเชิญทุกท่านกลับไปเถิด”

ทันใดนั้น ในโถงก็ส่งเสียงเอ็ดตะโรกันอีกรอบ

แม่นางฮวาในที่สุดก็เผยตัวแล้วจริงๆ ด้วย

หลายคนไม่พอใจ

ซ่งชิงเฟย หลิวมู่หยาง และหลินชิวสุ่ยพูดได้ว่าผิดหวังมากที่สุด

แต่เดิม พวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีโอกาสได้เป็นแขกคนพิเศษของแม่นางฮวา แต่บัณฑิตไส้แห้งที่ออกมาชนะพวกเขากลางทางกลับแย่งโอกาสไปเสียได้ จะให้พวกเขายอมรับได้อย่างไร นี่เป็นแค้นฆ่าเมียแย่งลูกชัดๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา