หากพูดให้ละเอียด เรื่องนี้พวกเขาทั้งสามรนหาที่เอง ดันไปหาเรื่องอัจฉริยะด้านกวี หลี่มู่แค่พูดออกมาตามปากสองประโยคก็ตอกพวกเขาไว้บนเสาแห่งความอัปยศได้อย่างง่ายดาย วันหลังไม่ว่าเมื่อใด ที่ไหน แค่มีคนพูดถึงที่มาของกลอนสองประโยคที่ว่า ก็จะต้องเอ่ยถึงสามคนนี้ เป็นเหมือนกับหินปูทางให้เขาเหยียบย่ำเอา
แน่นอน หลายคนอึ้งตะลึงในความสามารถด้านกวีของหลี่มู่
“เด็กหนุ่มคนนี้มีประวัติอย่างไรกันแน่ ความสามารถด้านบทกวีเก่งกาจถึงเพียงนี้ ไยจึงไม่เคยได้ยินชื่อเลย?”
“หรือจะเป็นคนต่างถิ่น?”
“คืนนี้ บางทีอาจเป็นประจักษ์พยานการถือกำเนิดของตำนานแห่งโลกกวีก็ได้”
บางคนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์
หลินชิวสุ่ยสีหน้าทะมึน ในดวงตาฉายแววอาฆาตแค้นไร้สิ้นสุด เขากัดฟันกรอดยืนอยู่เดิมครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจเรียกบัณฑิตร่างกลมป้อมมากระซิบอะไรบางอย่าง “รีบไปรีบมา จะต้องทำให้ได้ บอกอาจารย์ เรื่องนี้เกี่ยวกับชื่อเสียงอันยาวนานของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์”
บัณฑิตร่างกลมป้อมจากไปอย่างรีบร้อน
หัวหน้าสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ที่อยู่ข้างๆ ก็ตั้งสติกลับมาได้แล้ว
เขาเรียกสหายร่วมชั้นคนสนิทคนหนึ่งมาทันที แล้วกระซิบเสียงต่ำเตรียมการอะไรสักอย่าง
คืนนี้ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรก็แล้วแต่ ต้องพลิกสถานการณ์กลับมาให้ได้ มิฉะนั้นหากข่าวลือออกไป ชื่อเสียงของเขาหัวหน้าบัณฑิตคนนี้ก็นับว่าเสียไปแล้วโดยสมบูรณ์ อีกทั้งยังพลอยทำให้สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ติดร่างแหไปด้วย นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ แล้ว กระทั่งส่งผลกระทบกับอนาคตการสอบราชการของเขา
บัณฑิตจากสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ก็รีบร้อนจากไปเช่นกัน
ชายอวดดีซ่งชิงเฟยสีหน้าคาดเดาอารมณ์ได้ยาก ยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่สายตาของเขาอาฆาตแค้น สีหน้าอึมครึม เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมจำนน และกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง
ในโถงใหญ่ คนส่วนใหญ่ยังไม่แยกย้ายไป
เพราะดูจากท่าทางของหัวหน้าสำนักบัณฑิตทั้งสอง ก็รู้ได้ว่าละครฉากนี้ยังไม่จบ
หากเด็กหนุ่มพูดจาอวดดีคนนั้นไม่มีภูมิหลังอะไรแล้วละก็ เช่นนั้นคืนนี้เขาก็ลำบากแล้ว แถมยังเป็นเรื่องลำบากครั้งใหญ่ยิ่งด้วย
……
สาวใช้ผลักประตู นำหลี่มู่เดินเข้าไป
ภายในห้องมีกลิ่นของดอกกล้วยไม้จางๆ หอมตลบยิ่งนัก ทำให้รู้สึกสดชื่นปลอดโปร่ง
หลี่มู่มองประเมินไปรอบๆ อย่างสงสัยใคร่รู้
ในห้องงดงามแปลกตาแบบโบราณ ข้าวของเครื่องใช้ครบครัน ล้วนเป็นของใช้จากวัสดุไม้สีอ่อนที่งานแกะสลักประณีตวิจิตร ลายฉลุมีชีวิตชีวา ไม่ได้แสดงเอกลักษณ์แบบสตรีออกมาเด่นชัด เอกลักษณ์เพียงอย่างเดียวคือหนังสือเยอะนัก
ข้างกำแพงซ้ายขวามีชั้นหนังสือตั้งอยู่ บนนั้นมีตำราต่างๆ วางจนเต็มชั้น กระทั่งได้กลิ่นหอมของหมึกอยู่จางๆ สายตาของหลี่มู่เฉียบคมยิ่ง เพียงแวบเดียวก็มองออกว่าหนังสือเหล่านั้นไม่ได้เป็นแค่ของตบแต่ง แต่มีคนเปิดอ่านอยู่บ่อยๆ ถึงแม้จะรักษาอย่างดี แต่ขอบกระดาษชำรุดแล้ว
ทุกอย่างนี้บ่งบอกว่าเจ้าของห้องเป็นคนชอบหนังสือ รักหนังสือ และรักการอ่านหนังสือ
นอกจากหนังสือเยอะแล้ว เอกลักษณ์อีกอย่างในห้องคือดอกไม้เยอะ
เป็นดอกกล้วยไม้สีม่วงอ่อนพันธุ์หนึ่ง เล็กๆ ใหญ่ๆ รวมแล้วหลายสิบกระถาง วางอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ ในห้อง ส่วนมากออกดอกบานแล้ว ใบเรียวบาง ก้านดอกอ่อนไหวปลิวพลิ้วเบาๆ ทำให้คนอดเกิดความรู้สึกทะนุถนอมสงสารไม่ได้ กลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ในห้องคือกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์จากเกสรของดอกกล้วยไม้เหล่านี้
นอกจากนั้นก็ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ของผู้หญิงที่ชัดเจนอะไร
หากไม่ใช่ว่ารู้แล้วว่าห้องนี้เป็นของนางคณิกาอันดับหนึ่งในหอคณิกา หลี่มู่ยังคิดว่าตัวเองเข้ามาในห้องหนังสือของบัณฑิตสูงส่งสง่างามผู้ปลีกวิเวกคนใดเสียอีก
สาวใช้พาหลี่มู่เดินทะลุห้องนี้มายังห้องที่เชื่อมติดกันอีกห้องหนึ่ง
ที่นี่คือห้องชงชา การตกแต่งเรียบหรู ตลบอวลไปด้วยกลิ่นชาหอมสดชื่น
ดรุณีน้อยในชุดหรูฉวินรัดอกนั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะชาเงียบๆ นางกำลังชงชา กิริยาเนิบช้าราวกับเมฆคล้อยสายน้ำไหล ให้ความรู้สึกงดงามโดดเด่นไม่เหมือนใคร ผมของนางดุจเมฆ ดำดั่งหมึก เมื่อนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง ผมสลวยดุจกลุ่มเมฆยาวจนถึงข้อเท้า ทิ้งตัวลงมาข้างกายเป็นชั้นๆ ก่อตัวเป็นกลุ่มเมฆดำแผ่ไปบนพื้น
ภายใต้การขับเน้นจากผมดำขลับ ผิวของสาวน้อยขาวละเอียดเป็นอย่างยิ่ง ราวกับกำลังส่องแสงรางๆ ดวงหน้าเรียวเล็กวิจิตรประดุจหยกงามไร้ที่ติ จมูกโด่งงดงามราวช่างศิลปะชื่อดังแกะสลัก ริมฝีปากดุจผลอิงเถา (ผลเชอร์รี่)…
หลี่มู่ตะลึงไปในทันที
จะว่าอย่างไรดี สาวน้อยคนนี้เครื่องหน้าส่วนใดก็ล้วนวิจิตรยิ่ง เมื่อรวมกันแล้วกลับไม่ได้ให้ความรู้สึกสวยคมแบบอาวุธคมกริบข่มขวัญคน แต่เป็นความงามล้ำที่เป็นมิตรและอ่อนละมุน ชวนให้คนอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกอยากใกล้ชิด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา