ฮวาเสี่ยงหรงกลับคิดโยงไปถึงเรื่องในอดีตบางเรื่อง
คิดถึงตอนนั้น นางเคยเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ น่าเสียดายตระกูลต้องโทษ ตนต้องมาอยู่ในหอนางโลม ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่ง แต่คุณหนูตระกูลใหญ่ที่แท้จริงใครจะยินดีที่ได้ชื่อแบบนี้กัน หอสดับเซียนนับว่ามีน้ำใจโอบอ้อมอารีมากแล้ว ท่านแม่ไป๋ก็รักนางจริงๆ แต่ตนก็ยังคงถูกบังคับให้ต้องออกรับแขกอย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่ไม่เรียกว่าระหกระเหินลำบากแล้วจะเรียกว่าอะไร
กลอนวรรคนี้บรรยายความชอกช้ำที่อยู่ลึกในใจนางออกมาหมดสิ้น
“คุณชายมีความสามารถด้านกวีไร้ผู้เทียบเทียมจริงๆ ข้ายังไม่เคยเห็นผู้ที่มีเสน่ห์ของกวีเช่นคุณชายมาก่อน” ฮวาเสี่ยงหรงอดถามขึ้นไม่ได้ “กลอนบทนี้เหมือนจะยังไม่สมบูรณ์ ไม่ทราบว่าคุณชายจะ…”
ยังพูดไม่ทัน จบหลี่มู่ก็ตัดบททันที “เมื่อครู่ข้าก็แค่พูดออกไปตามความรู้สึก นึกออกแค่สองประโยคนี้เท่านั้น ไม่มีส่วนอื่นอีก”
“อ้อ” น้ำเสียงของฮวาเสี่ยงหรงผิดหวัง
นางรู้สึกว่ากลอนสองประโยคนี้เหมาะกับสถานการณ์ของนางในตอนนี้เป็นที่สุด ราวกับเขียนจากชะตาชีวิตของนาง เสียดายไม่ได้ดื่มด่ำให้เต็มที่ ดูท่าคุณชายผู้นี้ก็ไม่ยินดีที่จะพูดอะไรมาก จึงไม่สะดวกถามอีก
แต่ในใจของนางพูดได้ว่านับถือความสามารถด้านกลอนของหลี่มู่เป็นอย่างยิ่ง เมื่อมองใบหน้าของหลี่มู่อีกครั้ง ก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ถึงแม้จะไม่ใช่ชายรูปงามเหมือนหยกชั้นดี แต่คิ้วตาเด็ดเดี่ยว จมูกโด่งเป็นสัน โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นดำขลับราวท้องฟ้าดารา เหมือนเก็บดวงดาวในจักรวาลเอาไว้ มีเสน่ห์อย่างไม่มีใครเทียบได้ เหมือนจะทำให้วิญญาณของคนจมดิ่งอยู่ข้างในอย่างถอนตัวไม่ได้
ฮวาเสี่ยงหรงถอนใจอยู่ข้างใน
นี่คือบุคคลที่เป็นอัจฉริยะด้านกวี เสียดายว่าชาติกำเนิดต่ำต้อยนัก
ในโลกนี้ กลอนกวีสามารถสั่นสะเทือนโลกหล้าได้ นั่นคือพลังของบทกวี แต่สุดท้ายหากอาศัยแค่ความสามารถด้านนี้ คิดจะโดดเด่นเหนือคนอื่นนั้นยาก
ไม่ใช่ว่านางดูถูกบัณฑิตที่ไร้ซึ่งทุกอย่าง อัจฉริยะกวีสามารถทำให้ใจหวั่นไหว โดยเฉพาะอัจฉริยะที่เขียนกลอนเช่น ‘ล่มเมืองล่มชาติ’ แบบนี้ออกมาได้ ใครเล่าจะไม่ชอบ เรื่องเล่าของหนุ่มมากพรสวรรค์กับสาวงามมากมายนับแต่โบราณกาล ไม่ได้แต่งขึ้นมาลอยๆ
หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ฮวาเสี่ยงหรงต้องหวั่นไหวกับเด็กหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้แน่ และยินดีจะอยู่เคียงข้างเขา เพราะนางไม่ขาดทรัพย์สิน ลักษณะกลอนเหมือนนิสัยคน ผู้ที่เขียนกลอนแบบนั้นออกมาได้ คุณสมบัติประจำกายจะต้องไม่ธรรมดา กล่าวกันว่าของล้ำค่าหาง่าย แต่ชายคนรักนั้นหายาก หากสามารถหาสามีเช่นนี้ได้ ก็เป็นสิ่งที่นางเคยคิดจินตนาการไว้ แต่นางรู้ซึ้งดีถึงความเย็นชาและน้ำใจของคนแล้ว ดังนั้นจึงไม่สนใจลาภยศสรรเสริญและอำนาจ ทว่า…
ทว่านางในตอนนี้ตกอยู่ในสภาพลำบาก หากติดตามบัณฑิตหนุ่มเบื้องหน้ากลับจะทำร้ายเขา
ความคิดพวกนี้ผุดขึ้นมาในหัวของฮวาเสี่ยงหรงทันที
นางแย้มยิ้ม รินชา ชงชาให้หลี่มู่ ท่วงท่างดงาม แสงจันทร์ส่องเข้ามาจากทางหน้าต่าง ประหนึ่งเม็ดทรายสีเงินอาบร่างของนาง งามเฉิดฉายราวเซียนเหยาฉืออย่างไรอย่างนั้น
ตอนนี้หลี่มู่ค่อยๆ สงบลงแล้ว ด้วยฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ อยู่ไม่หยุด พลังจิตวิญญาณของเขาจึงแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง สามารถชดเชยความอึดอัดที่เป็นหนุ่มซิงตัวน้อยได้ เมื่อมองสาวงามเบื้องหน้าอีกครั้ง ก็ยิ่งรู้สึกปลงอนิจจัง เมื่ออยู่บนโลก การแต่งหน้าและการแต่งภาพยุคปัจจุบันสร้างผู้หญิงสวยออกมาได้ไม่รู้ต่อเท่าไหร่ แต่ไม่มีใครสักคนที่เทียบนางคณิกาอันดับหนึ่งของหอสดับเซียนเบื้องหน้าคนนี้ได้
สาวงามมักจะทำให้คนเกิดความรู้สึกเลื่อมใสและอยากทะนุถนอมได้ง่ายนัก นับว่ามีสิทธิพิเศษ
หลี่มู่แต่เดิมคิดจะดูแล้วก็จากไป แต่ตอนนี้พลันอยากอยู่นานอีกหน่อย
สาวงามชงชา ในโลกที่ทิวทัศน์งดงามแบบนี้ อยู่นานอีกหน่อยก็ไม่เลวเหมือนกัน
หลี่มู่ไม่ใช่สุภาพบุรุษจอมปลอมที่หัวทึบ เขาดื่มด่ำอย่างมีความสุข
“เพื่อเป็นการขอบคุณที่คุณชายแต่งกลอนให้ข้า ข้าจะขอร่ายรำให้ท่านชม” ฮวาเสี่ยงหรงลุกขึ้นทำความเคารพ “คุณชายรอสักครู่ ข้าจะไปเปลี่ยนชุด“
ฮวาเสี่ยงหรงหมุนตัวจากไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เมื่อนางกลับมา ก็เปลี่ยนเป็นชุดขนนกแล้วเรียบร้อย งดงามยากจะหาใครเทียบ
ข้างหลังมีนักดนตรีสามสี่คนเดินตามมา ล้วนเป็นสาวใช้แต่งตัวแบบบัณฑิต ถือเครื่องเป่าและเครื่องดีดไว้ในมือ หน้าตาโดดเด่น ในหอสดับเซียนสิ่งที่ไม่ขาดที่สุดก็คือสาวงามวัยแรกแย้มนี่เอง
เสียงดนตรีดังขึ้นมา
เสียงดนตรีแบบโบราณสอดประสานกัน นักดนตรีของที่นี่ต่างผ่านการฝึกซ้อมอย่างเข้มงวด ทักษะช่ำชองยิ่ง เรียกได้กระทั่งว่าเป็นระดับปรมาจารย์มืออาชีพ เสียงดุจน้ำพุไหลรินลอยแว่วเข้ามาในหู หลี่มู่ไม่ใช่ผู้ชื่นชอบดนตรีอะไร แต่ในขณะนี้กลับเหมือนได้ยินเสียงสวรรค์ นั่งตั้งใจฟังโดยละเอียด
เท้าเปล่าเปลือยของฮวาเสี่ยงหรงขาวงดงามดั่งหิมะ เหยียบลงบนพื้นไม้ ร่ายรำพลิ้วไหว
ท่าร่ายรำของนางงามอ่อนช้อย เรือนร่างชวนประทับใจ ท่วงท่าช้าเนิบแต่ลื่นไหล ชุดขนนกปลิวพลิ้วไปตามการเคลื่อนไหว ยามอยู่ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างก็เหมือนกับเซียนใต้แสงจันทร์ มีรัศมีศักดิ์สิทธิ์ไร้มลทิน โปร่งเบาลอยละล่อง ราวเหินลมกลับฟากฟ้าไปทีละก้าว
ในพริบตานี้ หลี่มู่มีความรู้สึกเหมือนถูกไฟดูดคล้ายวิญญาณโดนโจมตี
ได้ยินริมฝีปากแดงของฮวาเสี่ยงหรงร้องเพลงพลางร่ายรำไปด้วย
“ฉางอันมีดรุณีงามโสภา เป็นเอกในหล้าไร้ใครเทียบเคียง เพียงแรกเหลียวมองล่มนครา ชายตาอีกคราจมเมือง…”
บทเพลงที่นางร้องก็คือ ‘กลอนสาวงาม’ ที่หลี่มู่แต่งให้นางก่อนหน้านี้
ใต้แสงจันทร์ เซียนในชุดขนนกร่ายรำเพียงลำพัง เสียงไพเราะจับจิตดั่งเสียงสวรรค์ลอยเอื่อยมา ได้ชื่อว่าเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งของหนึ่งในสามหอคณิกาสำคัญใต้หน่วยเลี้ยงรับรอง ฮวาเสี่ยงหรงไม่ได้มีเพียงรูปโฉมบุคลิก แต่ท่วงท่าร่ายรำ น้ำเสียง วิธีการร้อง และความสามารถล้วนยอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง
ครั้งนี้หลี่มู่โดนโจมตีเข้าที่หัวใจจริงๆ
สวยเกินไป เหมือนความฝันเกินไป
ก่อนหน้านี้หลี่มู่ไม่เคยคิดว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะสวยชวนตะลึงได้ถึงขั้นนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา