บทที่ 159 เนตรสวรรค์ – ตอนที่ต้องอ่านของ จอมศาสตราพลิกดารา
ตอนนี้ของ จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 159 เนตรสวรรค์ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ไม่ใช่สิ
หลี่มู่หันไปมองอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว พบว่านักดนตรีที่บรรเลงเพลงเหล่านั้นก็เปล่าเปลือยเช่นกัน ทั้งเนื้อทั้งตัวต่างไร้อาภรณ์ เรือนร่างงดงามนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง กำลังบรรเลงเพลงด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง
เกิดอะไรขึ้น?
หนึ่งคนเปลือยกายยังพอจะพูดต่อไปได้ แต่คนทั้งห้องเปลือยกาย…นี่มันจะพิลึกเกินไปแล้ว
หลี่มู่ตระหนักได้ว่าอาจมีอะไรไม่ชอบมาพากล
หรือจะเป็นภาพมายา?
เขากะพริบตา
“คุณชาย? คุณชาย…” ซินเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ เตือนเสียงเบา “คุณชาย ท่านเลือดกำเดาไหลเจ้าค่ะ”
“อ้อ เลือดกำเดารึ ก็ปกตินิ…เอ๋? อะไรนะ? เลือดกำเดา…บ้าเอ๊ย” หลี่มู่รีบยกมือแตะ เลือดกำเดาไหลออกสองรูจมูกจริงๆ ด้วย บ้าจริง โดนจู่โจมจนเลือดกำเดาไหลเลยอย่างนั้นหรือ นี่มันจะกระอักกระอ่วนเกินไปแล้ว จะอย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นขั้นยอดปรมาจารย์ที่สร้างพายุขึ้นในเมืองฉางอันเชียวนะ สู้มามากมายขนาดนั้นยังไม่เคยเลือดไหลเลย กลับมาเลือดกำเดาไหลเพราะเหตุการณ์แบบนี้
นี่เป็นแก่นเลือดทั้งนั้นเลยนะ
แก่นเลือดหนึ่งหยดเท่ากับเลือดสิบหยด เลือดไหลออกมามากขนาดนี้ เทียบได้กับแก่นเลือดหลายสิบหยดแล้วกระมัง
เสียหายมหาศาลแล้ว
“ไม่เป็นไร ช่วงนี้ร้อนในบ่อย ก็เลยมักจะเลือดกำเดาไหล…เอ๋? เจ้าใส่…เมื่อไหร่กัน” หลี่มู่ขายผ้าเอาหน้ารอด แต่จู่ๆ ก็เบิกตาโต เพราะเขาพบว่าเสี้ยวขณะเมื่อครู่ บนร่างของซินเอ๋อร์กลับมาสวมเสื้อผ้าอีกครั้ง
“ใส่อะไร? คุณชาย ท่าน…” ซินเอ๋อร์มองหลี่มู่อย่างสงสัย
หลี่มู่รีบพูดกลบเกลื่อน “อ้อ ไม่มีอะไร ช่วงนี้สารอาหารไม่ค่อยพอ อาจจะต้องดื่มอิ๋งหย่างไขว้เสี้ยน[1]สักสองสามขวดบำรุงสักหน่อย…” ในใจของเขาเกิดคลื่นยักษ์ปั่นป่วน
เพราะเมื่อเขามองกลับไป ก็พบว่าฮวาเสี่ยงหรงที่ร่ายรำอยู่และนักดนตรีซึ่งกำลังบรรเลงเพลง ที่จริงแล้วล้วนใส่เสื้อผ้ากันหมด ไม่มีท่าทีว่าเปลือยกายสักนิดเดียว
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ซินเอ๋อร์ยื่นผ้าขนหนูให้หลี่มู่เช็ดเลือดกำเดาอย่างไม่สบอารมณ์ ขณะเดียวกันบนใบหน้าก็ฉายแววหยามหยันนิดหน่อย
คุณชายคนนี้ช่างไม่เอาไหนจริงๆ แค่ดูคุณหนูของข้าร่ายรำก็เลือดกำเดาไหลเสียนี่
หลี่มู่กลับไม่มีเวลาไปใส่ใจมากขนาดนั้น
เขาเช็ดเลือดพลางคิดในหัวอย่างรวดเร็ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ที่หว่างคิ้วมีความเจ็บปวดบางเบาส่งมา
เขาคลำไปโดยไม่รู้ตัว
หืม?
มันปูดขึ้นมา แข็งๆ เหมือนยุงกัด
ทว่าอย่ามาล้อเล่น ตอนนี้ยุงที่ไหนจะกัดทะลุผิวหนังที่แม้แต่ดาบยังฟันไม่เข้าได้?
หลี่มู่นึกได้ว่านี่อาจจะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของพลังจิตวิญญาณเมื่อครู่ก็เป็นได้
“มีกระจกหรือไม่?” เขาถาม
ซินเอ๋อร์หยิบกระจกแต่งหน้ามาให้ด้วยใบหน้าแปลกใจ
หลี่มู่ส่องกระจก พบว่าบริเวณเหนือคิ้วของตัวเองมีรอยนูนขึ้นมาจริงๆ หากไม่มองให้ดีก็ยากจะพบ และเมื่อมองให้ละเอียด จึงพบว่ารอยนูนนี้ยังมีลักษณะเหมือนดวงตาปิดสนิทในแนวตั้ง…เดี๋ยวนะ ตาที่ตั้งขึ้นมา?
ตาตั้งขึ้น?
หลี่มู่ตื่นตัว
เขาพลันนึกถึงคำที่ซินแสเฒ่าเคยว่าเอาไว้
‘ฮี่ๆ เจ้าเด็กเวร ข้าไม่กลัวที่จะบอกเจ้า วิชาก่อนกำเนิดที่ข้าถ่ายทอดให้เป็นวิชาเซียนจริงๆ เชียวนะ สามารถทำให้เซียนเปลี่ยนเอ็นผลัดกระดูก คนธรรมดาฝึกฝนจะสามารถเป็นเซียนได้ ทุกครั้งที่ฝึกสำเร็จขั้นหนึ่งจะเปิดอภินิหารเซียนได้ ฮ่าๆๆ…’ น้ำเสียงของซินแสเฒ่าได้ใจเหลือเกิน เพราะตอนนั้นดื่มจนเมาแอ๋แล้ว
‘หรือการเปลี่ยนแปลงเมื่อครู่เป็นเพราะในที่สุดเราก็ฝึก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นที่หนึ่งสำเร็จในระดับต้น ดังนั้นจึงไปเปิดอิทธิฤทธิ์บางอย่างเข้า?
จะต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ
ถ้าเป็นดวงตาแนวตั้งแล้วละก็…’
อืม ในตำนานปรัมปราของจีนโบราณ เทพเอ้อร์หลางเสินหยางเจี่ยนก็มีดวงตาตั้งตรงหว่างคิ้ว เมื่อลืมตาตื่นขึ้นสามารถมองทะลุสิ่งหลอกลวง มองเห็นความเปลี่ยนแปลง มองทุกสรรพสิ่งปรุโปร่ง ตอนนั้นร่างแปลงทั้งเจ็ดสิบสองของหงอคงต่อกรกับเอ้อร์หลางเสินหยางเจี่ยน ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร หยางเจี่ยนก็รับมือได้ เพราะดวงตาสวรรค์มองทะลุเจ็ดสิบสองร่างแปลงของหงอคงได้นั่นเอง
หรือว่าอิทธิฤทธิ์ในขั้นแรกของ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ก็คือเนตรสวรรค์?
เปิดเนตรสวรรค์?
หลี่มู่เข้าใจทันที
เขาไม่สนใจสาวงามที่ยังร้องระบำอยู่ข้างๆ รีบร้อนโคจรพลังจิตวิญญาณเงียบๆ ลองรวบรวมไปยัง ‘เนตรสวรรค์’ ที่อยู่หว่างคิ้ว ก่อนศึกษาพลังของเนตรสวรรค์อย่างละเอียด จริงๆ ด้วย เขาพบว่าเมื่อโคจรพลังจิตวิญญาณรวมไปยัง ‘เนตรสวรรค์’ ตรงหว่างคิ้ว ความเจ็บปวดมหาศาลก็เกิดขึ้น จากนั้นดวงตาตั้งตรงค่อยๆ เปิดออกน้อยๆ เป็นรอยแยกราวกับเส้นผม
ครั้นมองไปรอบๆ อีกครั้งด้วยสภาพเช่นนี้ พบว่าทุกอย่างล้วนชัดเจนยิ่งนัก
หลี่มู่เริ่มนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ตอนนั้น
เขาจำได้อย่างชัดเจนว่ายามนั้นแสงจันทร์ดุจทรายสีเงินสาดส่องมายังร่างของแม่นางฮวาคนงาม ท่วงท่าร่ายรำอ่อนช้อยดุจเซียน ทั้งศักดิ์สิทธิ์และไร้มลทิน ราวกับแดนเซียนอย่างไรอย่างนั้น ทำให้โลกจิตวิญญาณของเขาถูกสัมผัสเข้า พลังจิตวิญญาณจึงโหมบ่า กำลังภายในที่ซ่อนอยู่ในกายก็เริ่มปั่นป่วนอย่าควบคุมไม่ได้
หรือจะบอกว่า เหตุที่บรรลุได้เป็นเพราะระบำของฮวาเสี่ยงหรง?
“เหตุใดคุณชายเงียบงันอีก? ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือเพราะท่วงท่าของข้าย่ำแย่จนไม่อาจดูได้?” นางถามอีกครั้ง
ความคิดและลางสังหรณ์ของผู้หญิงมักว่องไวเสมอ นางสัมผัสได้ว่าความคิดของหลี่มู่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ นี่ทำให้นางรู้สึกพ่ายแพ้อยู่บ้าง
หลี่มู่พูดจาเหลวไหลหน้าตายอีกครั้ง “แม่นางฮวาเข้าใจผิดแล้ว เพราะท่วงท่าของแม่นางฮวาทำให้ข้าประทับใจ ระบำนี้ควรจะมีเพียงเทพเซียนเท่านั้นที่ได้ชม บนโลกจะได้พบสักกี่ครั้งกัน ดังนั้นจึงจมดิ่งอยู่ในนั้น ไม่อาจถอนตัวออกมาได้ ไม่ทราบว่าแม่นางฮวาจะระบำอีกสักเพลงให้ข้าตะลึงอีกครั้งได้หรือไม่?”
หากเกี่ยวพันถึงการฝึกวรยุทธ์ การฝึกฝน การยกระดับพลัง หลี่มู่จะใจเย็นเป็นอย่างมาก นี่คือสัญชาตญาณที่ซ่อนลึกอยู่ในกระดูก หากเทียบกับการกลับโลกและช่วยโลกแล้ว ทุกสิ่งอย่างอื่นล้วนไร้ค่า
เขาอยากจะดูฮวาเสี่ยงหรงร่ายระบำอีกครั้ง ทดลองดูสักหน่อยว่าจะทำให้จิตวิญญาณของเขาโหมบ่าอีกครั้ง และเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นบ้างหรือไม่
เพราะในใจเขาคาดเดาเอาไว้เลาๆ แล้ว
‘เจ้าคนนี้ ได้คืบเอาศอกรึ’ สาวใช้ซินเอ๋อร์เริ่มไม่พอใจ ก่อนหน้านี้เสแสร้งได้แนบเนียนดีจริงๆ ยังคิดว่าจะใจเด็ดเดี่ยว เมื่อครู่คุณหนูของข้าระบำ เจ้าก็เหม่อ ตอนนี้กลับจะให้ร่ายรำอีกรอบ เจ้าคิดว่าคุณหนูของข้าเป็นคนที่เที่ยวร่ายรำตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ?
“ซินเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท” ฮวาเสี่ยงหรงอมยิ้มดุสาวใช้คนสนิท จากนั้นมองไปยังหลี่มู่ “คุณชาย ข้าเพิ่งร่ายรำไปเพลงหนึ่ง ค่อนข้างเหนื่อยแล้ว อีกทั้งเพลงเดิมร่ายรำอีกรอบ รสชาติก็ไม่เหมือนเดิมด้วย”
พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของนางคณิกาอันดับหนึ่งฉายแววเจ้าเล่ห์รับกับอายุนาง “แน่นอน หากคุณชายแต่งกลอนดีอย่าง ‘กลอนสาวงาม’ ทำให้ข้าเกิดแรงบันดาลใจ เช่นนั้นร่ายรำอีกเพลงก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
หลี่มู่อึ้งไป ก่อนหัวเราะอีกรอบ
ผู้หญิงคนนี้…เปลี่ยนมาบังคับเอาบทกลอนชัดๆ
กลอนร้อยปีแต่งออกมาได้ง่ายๆ อย่างนั้นเสียเมื่อไหร่ จำต้องมีบรรยากาศและอารมณ์ด้วย
ถึงแม้หลี่มู่จะอยู่แค่มัธยมต้น แต่บนโลกก็ได้เรียนกลอนกวีของปราชญ์เมธียุคโบราณมาไม่น้อย ถึงอย่างไรก็ลอกติดๆ กันมาหลายบทแล้ว ดังนั้นจะลอกเพิ่มอีกสามสี่บทก็ไม่สนใจหรอก
เขาพยักหน้า ตอบรับว่า “ได้”
จากนั้นก็เงียบงันไปเล็กน้อย ในใจคิดกลอนบทหนึ่งออกแล้ว จึงเอ่ยปากขึ้น “เห็นเมฆดั่งเห็นอาภรณ์เจ้าสวมใส่ เห็นโบตั๋นหวนคิดถึงความงามโฉมสะคราญ สายลมสารทฤดูพัดผ่าน แสงจันทร์เด่นขับเน้น งามเลิศล้ำถึงเพียงนี้ หากมิได้พบที่หอสดับเซียน คงได้พบ ณ ตำหนักเหยาไถ[2]ใต้แสงจันทร์?”
……………………………………………………
[1]อิ๋งหย่างไขว้เสี้ยน เป็นชื่อเครื่องดื่มผลิตภัณฑ์นมผสมน้ำผลไม้กับวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ของบริษัท wahaha
[2] เหยาไถ ตามตำนานจีนคือที่พำนักของเหล่าเทพเซียน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา