นี่เป็นหนึ่งใน ‘กลอนชิงผิงเตี้ยว[1]’ ทั้งสามที่เซียนกวีหลี่ไป๋ในยุคราชวงศ์ถังประพันธ์เอาไว้ ว่ากันว่าในงานเลี้ยงของพระเจ้าถังเสวียนจงและหยางกุ้ยเฟย หลี่ไป๋แต่งกลอนด้วยความเมามาย กำเริบไร้ความเกรงกลัว สั่งให้กุ้ยเฟยฝนหมึกให้ กลอนทั้งสามบทที่แต่งเสร็จในคราเดียวเล่าลือไปพันๆ ปี บทนี้ก็คือหนึ่งในทั้งสามบท โดยเฉพาะ ‘เห็นเมฆดั่งเห็นอาภรณ์เจ้าสวมใส่ เห็นโบตั๋นหวนคิดถึงความงามโฉมสะคราญ’ ยิ่งเหมาะเจาะกับตอนนี้เป็นอย่างมาก ทั้งยังเหมือนกับชื่อของแม่นางฮวา[2]อีกด้วย
เมื่อแต่งกลอนเช่นนี้ ฮวาเสี่ยงหรงตาเป็นประกายทันที ยามมองหลี่มู่อีกครั้งในดวงตามีความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูกเพิ่มขึ้นมา
ซินเอ๋อร์และนักดนตรีสาวคนอื่นๆ ก็อึ้งตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
ดวงตางามแต่ละคู่มองมายังหลี่มู่ ราวกับจะมองเขาให้ทะลุหน้าทะลุหลัง
หรือจะเป็นอัจฉริยะนักกวีจริงๆ?
ต่อให้เป็นคุณชายเหวินจงปินที่ได้ชื่อว่า ‘พลังกวีเลื่องลือแปดหมื่นลี้ เมื่อเมามายเริ่มวาดรูปทิวทัศน์’ และเป็นคนมีความสามารถมากในจักรวรรดิฉินตะวันตกที่ทุกคนยอมรับ แต่ก็ไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มเบื้องหน้านี้กระมัง?
แค่อ้าปากก็ท่องออกมาได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นบทกวีที่มากพอจะเล่าลือไปเป็นร้อยปี
บนโลกมีคนที่มีความสามารถเช่นนี้จริงๆ หรือ?
ถึงแม้ซินเอ๋อร์ไม่ค่อยพอใจหลี่มู่ แต่ตอนนี้ก็มองเขาสูงขึ้นอย่างอดไม่ได้
ส่วนฮวาเสี่ยงหรงที่เป็นคนต้นเรื่องกลับจับจ้องหลี่มู่ด้วยสายตาวาววับ ดวงตาแทบจะทอแสงออกมาได้ นางไม่ปกปิดท่าทีที่เหมือนวิญญาณถูกกลอนบทนี้จู่โจมเลยสักนิด ในฐานะคนที่ชอบบทกลอน เมื่อได้ยินหลี่มู่ท่องกลอนบทนี้ นางพบว่า…แย่แล้ว ตนเองเหมือนว่า…ใกล้จะ…ทนไม่ไหว…จะจมดิ่งลงไปแล้ว
พลานุภาพของกวียิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เอง
อันที่จริง เมื่อครู่นางก็แค่เอ่ยปากล้อเล่นไปตามอารมณ์ ถือว่าเป็นการแก้แค้นที่หลี่มู่เหม่อลอยเมื่อนางร่ายรำเล็กๆ น้อยๆ ช่วยไม่ได้ ใจแค้นของผู้หญิงก็รุนแรงแบบนี้
และในความเป็นจริง ตัวนางก็ไม่ได้หวังอะไรมากมาย เพราะยิ่งอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้ถึงความล้ำค่าของกลอนอมตะ ผู้ที่ศึกษาร่ำเรียนหลายคนชั่วชีวิตแต่งบทกลอนอมตะได้บทหนึ่งก็มากพอให้ภาคภูมิใจได้แล้ว ดังนั้นต่อให้เมื่อครู่หลี่มู่แต่งบทที่สองไม่ได้ นางก็จะยังรับปากร่ายรำอีกเพลงหนึ่ง
ทว่า เขากลับแต่งออกมาได้
เห็นเมฆดั่งเห็นอาภรณ์เจ้าสวมใส่ เห็นโบตั๋นหวนคิดถึงความงามโฉมสะคราณ สายลมสารทฤดูพัดผ่าน แสงจันทร์เด่นขับเน้น งามล้ำถึงเพียงนี้ หากมิได้พบที่หอสดับเซียน คงได้พบ ณ ตำหนักเหยาไถใต้แสงจันทร์?
เข้ากับบรรยากาศ เวลา และบุคคล!
อีกทั้งสิ่งที่ยิ่งทำให้คนต้องชมเปาะคือ เขาผสานชื่อของนางเข้าไปในนั้นด้วย
นี่เป็นบทประพันธ์ที่วิเศษสุดชัดๆ
สุดอนาถไร้อำนาจวาสนาบรรดาศักดิ์ แต่พร้อมพรักด้วยวรรณศิลป์ชวนใฝ่หา
“คุณชายรอสักครู่” ฮวาเสี่ยงหรงหน้าแดงเล็กน้อย ลุกขึ้นคารวะไปเปลี่ยนชุด
นักดนตรีที่อยู่ข้างๆ ยังกำลังหารือกันว่ากลอนบทนี้จะใช้ดนตรีอะไร บรรเลงออกมาอย่างไร ได้เข้าร่วมการขับร้องบรรเลงบทกวีอมตะเช่นนี้ด้วยตัวเอง สำหรับพวกนางแล้ว มิใช่เกียรติอย่างหนึ่งหรืออย่างไร? นี่ทำให้พวกนางตื่นเต้น ลิงโลดนัก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฮวาเสี่ยงหรงก็เปลี่ยนเป็นชุดชาววังสีขาวโปร่งบางงดงาม
เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ ใบหน้านางไม่ได้ไร้เครื่องสำอางเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ตั้งใจแต่งหน้าเขียนคิ้ว รูปโฉมยิ่งพริ้มเพรากว่าเดิม
สตรีตั้งใจแต่งหน้าเพื่อคนที่ตนรัก
ซินเอ๋อร์เห็นภาพนี้ ท่าทางก็ดูตื่นตะลึง
มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ ชุดกระโปรงขาวผ้าโปร่งบางตัวนี้เป็นชุดที่ฮูหยินผู้เฒ่าตัดเย็บด้วยตนเองก่อนตระกูลซ่างกวนจะได้รับโทษริบทรัพย์สามสี่วัน นับแต่มาถึงสถานที่คาวโลกีย์เช่นนี้ คุณหนูไม่เคยใส่เลยสักครั้ง
ความคิดของคุณหนู นางรู้ดี
ชุดกระโปรงขาวโปร่งบางตัวนี้ คุณหนูมองว่าเป็นของที่ระลึกเพียงอย่างเดียว ขอแค่รักษาเอาไว้ หากโชคดีได้พบกับชายในฝัน เมื่อออกเรือนจะสวมใส่ยามเข้าหอ ทว่าตอนนี้คุณหนูกลับสวมมันแล้ว คงไม่ใช่ว่า…
คุณหนูนะคุณหนู ท่านอย่าได้เลอะเลือนเชียว
ซินเอ๋อร์แอบเป็นกังวล
และตอนนี้เอง ฮวาเสี่ยงหรงยืนยิ้มหวานอยู่ใต้แสงจันทร์ข้างหน้าต่าง ข้างหลังมีแสงจันทร์สาดเข้ามา ขับเน้นเป็นวงแสง ทั่วทั้งร่างราวกับผสานเป็นหนึ่งเดียวกับแสงนวล สวยบริสุทธิ์จนเกินเหตุอยู่บ้าง ศักดิ์สิทธิ์ราวเทพธิดาจากวังสวรรค์ก็ไม่ปาน
หลี่มู่อ้าปากค้าง ไม่ได้พูดอะไร
เขามีความรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง ฮวาเสี่ยงหรงเข้ากันได้ดีกับแสงจันทร์มาก ราวกับเป็นร่างจำแลงจากแสงจันทร์
สาวงามเช่นนี้กลับอยู่ในหอนางโลม หรือว่าสาวงามชะตาอาภัพ ชะตาชีวิตลำบากจริงๆ?
ยามที่หลี่มู่ทอดถอนใจ เสียงดนตรีก็บรรเลงขึ้นมา ฮวาเสี่ยงหรงร่ายระบำอีกครั้ง
ท่วงท่างดงาม ประหนึ่งเซียนฉางเอ๋อร์แห่งวังจันทราลงมายังโลกมนุษย์
ริมฝีปากแดงของนางขยับ เสียงนุ่มลอยอ้อยอิ่ง ขับร้องว่า “เห็นเมฆดั่งเห็นอาภรณ์เจ้าสวมใส่ เห็นโบตั๋นหวนคิดถึงความงามโฉมสะคราญ สายลมสารทฤดู….” แน่นอนว่านางร้องกลอนบทใหม่นั้น
หลี่มู่รวบรวมสมาธิมอง
ไม่นานนัก เรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็น การคาดเดาของเขาก่อนหน้านี้ไม่ผิดจริงๆ เมื่อฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำอยู่ใต้แสงจันทร์ราวกับภูตพราย ภาพอันศักดิ์สิทธิ์เหมือนธรรมชาติและเต๋าผสานเป็นหนึ่ง แผ่กระจายท่วงทำนองแห่งเต๋าที่ยากจะบรรยายออกมา
ก่อนหน้านี้ที่พลังจิตวิญญาณของหลี่มู่โหมบ่า ในกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็เพราะท่วงทำนองแห่งเต๋าชนิดนี้เหนี่ยวนำการสอดประสานจาก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ของเขา
‘ท่าทางการคาดเดาก่อนหน้านี้จะไม่ผิดจริงๆ ฮวาเสี่ยงหรงคนนี้คือกายเต๋าฟ้าประทานล้ำค่าหายากตามที่ซินแสเฒ่าเคยบอก แต่เป็นกายเต๋าแบบไหนยืนยันไม่ได้ ดูแล้วน่าจะเกี่ยวกับแสงจันทร์’
หลี่มู่ยืนยันได้แล้ว
เขาโคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ และได้สัมผัสอะไรใหม่ตามคาด
ภายใต้ท่วงทำนองที่แผ่ระลอกออกมาจากร่างของฮวาเสี่ยหรง ผลการฝึกฝนวิชาก่อนกำเนิดยิ่งดีขึ้น แสงจันทร์ที่คนอื่นมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแปรเปลี่ยนเป็นทำนองศักดิ์สิทธิ์ระยิบระยับ ก่อนจะผสานเข้าไปในร่างของหลี่มู่ กระทั่งว่าผลของการฝึกดีกว่าใน ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ที่วางเอาไว้ในที่ว่าการเสียอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา