อ่านสรุป บทที่ 185 ประโยชน์อันน่าอัศจรรย์ของเนตรสวรรค์ จาก จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet
บทที่ บทที่ 185 ประโยชน์อันน่าอัศจรรย์ของเนตรสวรรค์ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน จอมศาสตราพลิกดารา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
หลี่มู่มองเห็นก็รู้สึกตกใจ
จู่ๆ ทำไมมีผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์สามคนโผล่มาเสียได้?
ไม่ได้บอกว่าผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์ในเมืองฉางอันรวมกันแล้วก็ไม่เกินสองหยิบมือหรอกหรือ?
สตรีชุดขาวผู้นี้ช่างเป็นตัวก่อเรื่องเสียจริงๆ คราวเดียวก็ยั่วโทสะถึงสามคน
“จับนางเอาไว้”
“อย่าให้นางหนีไปได้”
ท่ามกลางเสียงตะโกน ยอดฝีมือชุดเกราะที่ตามอยู่ข้างหลังยิงธนูและอาวุธลับต่างๆ ไม่หยุด พากันไล่ล่าสังหารสตรีชุดขาว
สตรีชุดขาวแบกกระบี่ยาว เรือนร่างเพรียวลม บินพลิ้วไหวราวเทพเซียน หลบหลีกอาวุธลับเหล่านั้นไปได้ แต่เหมือนนางจะได้รับบาดเจ็บ ความเร็วในการหนีไม่มากนัก ระยะห่างของนางกับผู้ไล่สังหารใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ฮ่าๆ พิษในกายนางกำลังออกฤทธิ์แล้ว”
“ใต้เท้ามีคำสั่งลงมา ให้จับเป็นนาง”
ทั่วร่างยอดปรมาจารย์ชุดคลุมดำสามคนกะพริบแสงกำลังภายในวูบวาบ ประชิดเข้ามาใกล้อย่าต่อเนื่อง
หลี่มู่ขมวดคิ้ว
สตรีชุดขาวโดนพิษ?
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
แต่นางล่วงเกินผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์ เกรงว่าเรื่องที่สร้างคราวนี้คงจะไม่ใช่เรื่องเล็ก
ทว่า ถูกยอดปรมาจารย์สามคนไล่ล่าสังหารติดๆ กัน ทั้งยังไม่ได้สู้กันซึ่งหน้า แต่ใช้พิษรับมือ คาดว่าพลังของสตรีชุดขาวผู้นี้จะน่ากลัวยิ่งกว่า น่าจะอยู่เหนือการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขา อย่างน้อยก็เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์เหมือนกัน
ช่วย หรือไม่ช่วย?
หลี่มู่ค่อนข้างลังเล
แน่นอนว่าเขารู้สึกดียิ่งกับสตรีชุดขาว ตอนนั้นในตำบลสุขสงบ ที่ร้านบะหมี่ของแม่เฒ่าไช่ สตรีชุดขาวผดุงความยุติธรรม เห็นความอยุติธรรมก็เข้าไปช่วยเหลือ เห็นได้ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์หญิงที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ภายหลังนางกำจัดพวกอันธพาลหม่าซาน แล้วยังมอบเคล็ดวิชานึกนิมิตรให้แก่เขา ถึงแม้หลี่มู่ตอนนี้จะยังทะลวงระดับขั้นนึกนิมิตรไม่ได้ แต่นี่ก็นับว่าเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่ง
ปัญหาก็คือ สตรีชุดขาวแค่ดูก็รู้แล้วว่าฐานะสูงส่ง น่ากลัวว่าคงเป็นชนชั้นสูงของจักรวรรดิหรือเชื้อพระวงศ์อะไรเทือกนี้ หากลงมือช่วยเหลือ ก็ยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับการแก่งแย่งชิงดีทางการเมืองในราชสำนักของจักรวรรดิ ในฐานะชาวโลกที่มีอิสระเสรีมาโดยตลอด หลี่มู่เบื่อหน่ายพวกนักปกครองมาก
ทว่า ในชั่วขณะที่เขากำลังลังเล สถานการณ์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
“อึก…” สตรีชุดขาวที่กำลังโบยบินร้องครางเสียงต่ำ ธนูดอกหนึ่งปักบนไหล่ รอยเลือดสีแดงสดย้อมชุดขาว ทำให้ฝีเท้าของนางโซเซจนเกือบล้ม
นางดิ้นรนดีดตัวขึ้นมา และจับพลัดจับผลูพุ่งมาทางเจดีย์หินที่หลี่มู่อยู่
ส่วนยอดปรมาจารย์ชุดดำทั้งสามที่ไล่ตามมาติดๆ ไม่รามือ ตอนนี้ก็พบหลี่มู่ที่ยืนอยู่บนเจดีย์หินก่อนก้าวหนึ่ง
“นางมีพวกมาคอยรับ ระวังอย่าให้หนีไปได้ จับไปพร้อมกันเลย”
ยอดปรมาจารย์ชุดดำที่อยู่ข้างหน้าสุดคนนั้นโบกมือ ตัดสินใจอย่างเฉียบขาด
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
ลูกธนูหลายสิบดอกพุ่งมาทางหลี่มู่
คราวนี้ หลี่มู่ไม่ช่วยก็ต้องช่วยแล้ว
เขาหลบลูกธนู จากนั้นฉีกแขนเสื้อมาปิดหน้าตัวเองไว้ แล้วกระโดดขึ้นฟ้าตรงเข้าไปรับมือ
ร่างของเขารวดเร็วอย่างยิ่งยวด
ชั่วขณะที่เฉียดผ่านสตรีชุดขาว เขาพูดเสียงต่ำว่า “เจ้ารีบไป ข้าจะสกัดพวกมันไว้”
สายลมยามราตรีพัดผ้าคลุมหน้าของสตรีชุดขาวเลิกพลิ้วขึ้นมา ดวงตางดงามดั่งดวงดารายามค่ำคืนฉายแววตื่นตะลึง เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าในยามจนตรอกเช่นนี้จะมีคนโผล่มาช่วยจากบนฟ้า
และตอนนี้ หลี่มู่ประหนึ่งสายฟ้าแลบ พุ่งไปสกัดกั้นยอดปรมาจารย์ชุดดำทั้งสามคนนั้นเอาไว้
“ขวางข้า? ตายซะ!”
ยอดฝีมือชุดดำที่เป็นหัวหน้าตะโกนลั่น ฝ่ามือหนึ่งโจมตีออกไป
กลางท้องฟ้า เสียงประหลาดดั่งเสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังขึ้น ปะปนมาด้วยกลิ่นเหม็นคาวราวศพเน่าก็ไม่ปาน พลังฝ่ามือดุจคลื่นน่าสะพรึงกลัวพุ่งโจมตีมายังหลี่มู่
เขามั่นใจมากว่าสามารถโจมตีผู้ขัดขวางให้บาดเจ็บได้ในฝ่ามือเดียว
ในเมืองฉางอัน คนที่สามารถรับ ‘คลื่นคลั่งซากกระดูก’ ได้นั้นมีอยู่ แต่ไม่ใช่เจ้าเด็กที่จู่ๆ โผล่มาเบื้องหน้าคนนี้แน่
แต่ทว่า…
“ลูกไม้ตื้นๆ”
หลี่มู่รวบนิ้วชิดดุจดาบ ก่อนพลิกมือโจมตีออกไป
ประกายดาบสายหนึ่งราวกับไหมสีเงินแหวกท้องฟ้า ผ่าพลังฝ่ามือกลิ่นคาวคลุ้งของยอดปรมาจารย์ชุดดำออกเป็นสองส่วน ประกายดาบไม่ขาดสายโจมตีโดนยอดปรมาจารย์ชุดดำจนกระเด็นออกไปไกลท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เลือดสดๆ สาดกระเซ็น รอยดาบเส้นหนึ่งบนร่างเด่นชัด ปากก็กระอักเลือด เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
“อะไรกัน?”
“เป็นไปไม่ได้”
ยอดปรมาจารย์ชุดดำสองคนที่เหลือตกตะลึง
“ท่านเป็นใครมาจากไหน?” ยอดปรมาจารย์ชุดดำอีกคน ใบหน้าฉายแววเคร่งขรึม ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
หลี่มู่ม้วนตัวกลางอากาศ กลับมายังเจดีย์หิน เศษผ้าปิดหน้าปิดตาไว้ เหลือแค่ดวงตาให้เห็น ในน้ำเสียงไม่มีคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย อีกทั้งค่อนข้างแหบแห้ง เอ่ยว่า “ไม่อยากตายก็ไสหัวไป”
เขาไม่อยากสู้กับคนพวกนี้
สตรีชุดขาวถูกพิษ ไปไหนได้ไม่ไกล จำต้องไปช่วย
‘สองคนนี้เป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดปรมาจารย์ ประสบการณ์การต่อสู้โชกโชน กลอุบายมากมายไม่จบสิ้น นี่ก็ไม่ใช่เวทีประลองด้วย หากหลบหลีกตลอดยากจะคว้าโอกาสเอาไว้ได้ คิดจะโจมตีสังหารพวกเขา คงต้องงัดลูกไม้ทั้งหลายออกมาแล้ว…’
หลี่มู่หงุดหงิดใจ
สายตาของเขามองเห็นสตรีชุดขาวอยู่ไกลออกไปประมาณสามร้อยจั้ง ร่างโอนเอนโซเซ เห็นได้ชัดว่าพิษออกฤทธิ์ ใกล้จะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว ส่วนพี่ใหญ่ของพวกยอดปรมาจารย์ชุดดำก็นำคนไล่ตามไป ใกล้จะจับได้เต็มที
ช่วยคนก่อนค่อยว่ากัน
หลี่มู่สำแดงท่าร่าง บินพุ่งไปรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ
ยอดปรมาจารย์สองคนนั้นสกัดกั้นสุดกำลัง
นี่คือการต่อสู้ที่อัดอั้นที่สุดครั้งหนึ่งของหลี่มู่
“เนตรสวรรค์ เปิด!”
เขาโคจรพลังจิตวิญญาณไว้ที่หว่างคิ้ว เนตรสวรรค์เปิดออก ส่งแสงไร้รูปร่างออกมาหุ้มร่างของยอดปรมาจารย์ชุดดำทั้งสองเอาไว้ เพียงกวาดไปก็มองเห็นวิธีและเส้นทางของกำลังภายในที่โคจรอยู่ในร่างคู่ต่อสู้ทั้งหมด ไม่มีอะไรมาบดบัง
ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับใช้เครื่องตรวจจับความร้อนสำรวจอย่างไรอย่างนั้น
ในกายของยอดปรมาจารย์สองคน กระแสพลังงานสีเทาอ่อนแต่ละสายๆ หมุนเวียนไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้เฉพาะ แฝงไว้ด้วยแก่นแท้ของวิถียุทธ์ที่พวกเขาฝึกฝน หากอธิบายให้เห็นภาพก็คล้ายกับแผงวงจรวิชาฟิสิกส์ที่หลี่มู่เคยเรียนบนโลก ความแข็งแกร่งอ่อนแอของพลังงานสีเทาเป็นตัวแทนของจุดแข็งแกร่งอ่อนแอต่างๆ ภายในกาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดที่แสงริบหรี่พวกนั้น ยิ่งสื่อถึงข้อบกพร่องและจุดอ่อนในเคล็ดวิชาของยอดปรมาจารย์ชุดดำทั้งสอง
“สังหาร!”
หลี่มู่แค่มองเห็นก็กระจ่างแจ้ง โคจรเคล็ดวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ก่อนจะแตะฝ่ามือไปบนต้นไม้ข้างหน้า
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว
ท่ามกลางเสียงแหวกอากาศ ใบไม้สีเขียวแกมเหลืองนับไม่ถ้วนถูกเคล็ดวิชากระตุ้น พริบตาที่หลุดออกจากกิ่งไม้ก็แปรเปลี่ยนไปคล้ายลูกศร มาพร้อมด้วยปราณธนูที่แหลมคมไร้เทียมทาน คมกริบประดุดาบเหล็ก พุ่งโจมตีสังหารทั้งสองคนไม่ต่างจากพายุฝน
ยอดปรมาจารย์ชุดดำสองคนรวบรวมกำลังภายใน เปลี่ยนให้เป็นสนามกำลังภายในป้องกันไว้ พลังฝึกถูกผลักดันจนถึงขีดสูงสุด
ใบไม้พวกนั้นปกคลุมพวกเขาไว้ในชั่วพริบตา
พลังโจมตีมหาศาลสะเทือนจนทั้งสองฝีก้าวไม่มั่นคง กำลังภายในกระเพื่อมปั่นป่วน เลือดลมพร่อง
‘สัมผัสจิตดุจธนู’ สมกับเป็นวิชาสุดยอดที่กัวอวี่ชิงถ่ายทอดให้ ถึงแม้หลี่มู่จะฝึกฝนกำลังภายในออกมาไม่ได้ แต่ก็สามารถกระตุ้นได้จนถึงระดับนี้
แต่ว่าหากอยากจะสังหารในกระบวนท่าเดียวยังด้อยไปหน่อย
ถึงอย่างไรคู่ต่อสู้ก็เป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์สองคน
ทว่า หลี่มู่วางแผนไว้ก่อนแล้ว
ต่อไปต่างหากถึงจะเป็นกระบวนท่าสังหารที่แท้จริง
……………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา