จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 186

แทบจะในขณะเดียวกับที่ใบไม้ทั่วท้องฟ้าพุ่งโจมตีออกไป มือทั้งสองของเขาก็หักเอากิ่งที่ไร้ใบออกมาใช้แทนดาบ ร่างลากเป็นรอยเลือนรางสายหนึ่งกลางท้องฟ้า รุกโจมตีไปถึงหน้ายอดปรมาจารย์ชุดดำสองคนทันที มือซ้ายสำแดง ‘ตัดอสุนี’ มือขวาใช้ ‘ชักดาบสะบั้น’ ฟาดฟันออกไปอย่างไร้ปรานี

ตำแหน่งที่ฟันก็คือจุดที่วิชาของยอดปรมาจารย์ชุดดำทั้งสองอ่อนแอที่สุด

ฉัวะ ฉัวะ!

เลือดสดสาดกระจาย

หลังจากที่หลี่มู่ออกดาบ ร่างก็แหวกอากาศพุ่งไปทางสตรีชุดขาว

ยอดปรมาจารย์ชุดดำสองคนร่างค้างแข็ง ใบไม้ปักทั่วผิวกายเหมือนกับเม่น บริเวณใต้ชายโครงต่างมีกิ่งไม้ปักอยู่ ซึ่งเป็นบริเวณที่เคล็ดวิชาของพวกเขาอ่อนแอที่สุดนั่นเอง เลือดทะลักออกมาตามกิ่งไม้ จากนั้นร่างล้มโครมลงทันที

โจมตีสังหาร!

นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่มู่นำ ‘เนตรสวรรค์’ มาใช้จริงในการต่อสู้ ผลของมันนับว่าเป็นที่น่าพอใจ

แน่นอน การใช้ด้านอื่นๆ ยังคงอยู่ในการสำรวจขั้นต่อไป

แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม

ร่างของหลี่มู่ราวสายฟ้า เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงข้างหลังของยอดปรมาจารย์ชุดดำคนสุดท้ายและเหล่านักรบชุดเกราะ

ระยะห่างบีบใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว

ระหว่างกระโดดเคลื่อนที่ไป หลี่มู่ยื่นมือประสาน แตะไปบนต้นไม้โบราณข้างหน้าอีกครั้ง

‘สัมผัสจิตดุจธนู’ โจมตีออกไป

ใบไม้หลายพันใบพุ่งออกไปทันทีประหนึ่งห่าธนูกระจายเต็มฟ้า

“อ๊าก…”

เสียงร้องโหยหวนดังระงม

นักรบชุดเกราะหลายสิบคนนั้นถึงแม้มีกำลังรบขั้นปรมาจารย์ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่มู่ตอนนี้ก็แทบจะถูกสังหารในชั่วพริบตา บาดเจ็บสาหัสล้มตายกันเป็นแถบ

หลี่มู่กระโดดเคลื่อนที่อีกครั้ง ก็มาถึงเบื้องหน้าของยอดปรมาจารย์ชุดดำที่บาดเจ็บคนนั้นทันใด

“น้องสอง น้องสาม พวกเจ้า…” ยอดปรมาจารย์ชุดดำตกใจ หันกลับไปถึงจะเห็นว่าศิษย์น้องร่วมสาบานทั้งสองคนล้มลงไปแล้ว ลูกน้องที่อยู่รอบๆ บาดเจ็บล้มตายระเนระนาด เขาพลันตื่นตะลึง คิดไม่ถึงว่าหลี่มู่จะสังหารยอดปรมาจารย์สองคนแล้วตามมาได้ทันในระยะเวลาอันสั้นแค่นี้

“ท่านเป็นใครมาจากไหนกันแน่ กล้าเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามหรือไม่?” ยอดปรมาจารย์ชุดดำเอ่ยเสียงแหบแห้งเคียดแค้น “ข้าสามมารหลงเหยียน วันนี้นับว่าพ่ายแพ้ในมือของท่าน อย่างไรก็น่าจะให้พวกข้าได้รู้ว่าพวกเราพี่น้องไปหาเรื่องใครเข้ากระมัง?”

“เจ้าโง่รึเปล่า?” หลี่มู่ถามด้วยเสียงแหบพร่า

“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” ยอดปรมาจารย์ชุดดำถาม

“ในเมื่อข้าปิดหน้าปิดตา นั่นก็คือไม่อยากเปิดเผยตัวตน เจ้าว่าข้าจะบอกความลับที่ข้าชื่อจั่วลู่อี้กับเจ้าตรงๆ ไหม? ฮ่าๆๆๆ ฮี่ๆๆๆ…” หลี่มู่หัวเราะเกินพอดี “อย่าพูดให้มากความเลย ไปลงนรกซะเถอะ”

‘ที่แท้ก็ชื่อจั่วลู่อี้’ ยอดปรมาจารย์ชุดดำพูดในใจ คนคนนี้ดูแล้วเหมือนสมองค่อนข้างมีปัญหา จากนั้นเขาแค่นเสียงเย็น ไม่รู้ว่ามือคลำเอาอะไรออกมาโยนบนพื้น

บึ้ม!

ควันสีเขียวเข้มตลบฟุ้ง มาพร้อมกับกลิ่นอย่างกลิ่นผายลมเหม็นแสบจมูก

มีพิษ!

หลี่มู่ตั้งตัวได้ทันที รีบกลั้นหายใจไว้

แต่หลังจากศูนย์จุดศูนย์หนึ่งวินาทีผ่านไปแล้ว เขาก็ตระหนักขึ้นได้ บ้าเอ๊ย เราดื่มเลือดงูพรรคเสินหนงตัวนั้นมา ซ้ำยังฝึก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ พิษร้ายทำอะไรไม่ได้ แล้วจะกลัวอะไร ต้องกลั้นหายใจทำไม?

หลี่มู่พลิกข้อมือ สำแดงวิชาเต๋า ‘วายุมังกรคลั่ง’ ออกไป ลมรุนแรงพัดกวาดออกมาจากมือของหลี่มู่ หอบม้วนไปยังหมอกสีเขียวเข้มนั้นทันที สุดท้ายก็พัดเอามันไปรวมกัน แรงลมเพียงกดอัดก็บีบรวมจนกลายเป็นก้อนสีเขียวเข้มขนาดเท่าหัวแม่มือ

หลี่มู่ตวัดมือ ใช้วิชาเต๋าสะกดก้อนสีเขียวเข้มนั้นแล้วเรียกมาถือไว้

เมื่อมองไปอีกครั้ง นักรบชุดเกราะที่บาดเจ็บล้มตายจากใบไม้ก่อนหน้านี้กลายเป็นน้ำหนองสีเหลือง ไม่เหลือแม้กระดูก ส่งกลิ่นเหม็นคาวชวนอาเจียน เหลือไว้เพียงชุดเกราะกับเสื้อผ้าเอาไว้บนพื้นเท่านั้น

‘ผงสลายศพ?’

คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวของหลี่มู่

นิยายกำลังภายในที่อ่านเมื่อตอนอยู่บนก็โลกบรรยายถึงภาพแบบนี้เยอะแยะ

ยอดปรมาจารย์ชุดดำคนนี้โหดเหี้ยมจริงๆ ทำลายร่องรอยซากศพได้อย่างหมดจด ต้องรู้ไว้ว่านักรบชุดเกราะบางคนในนั้นแค่บาดเจ็บเท่านั้น ยังไม่สิ้นลมหายใจ แต่กลับถูกสังหารด้วยหมอกพิษนี้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่น้องสอง น้องสามที่เขาเรียกกับปากก็รวมอยู่ในนี้ด้วย

ตอนนี้ ข้างหลังไกลๆ มีเสียงตุบดังมา

เมื่อหลี่มู่หันกลับไปก็เห็นสตรีชุดขาวพิษกำเริบ รวมกับที่ไหล่โดนธนูยิง จึงโซซัดโซเซหนีไปได้ไม่ไกล สุดท้ายก็สลบเหมือด ล้มลงข้างถนนห่างออกไปราวหนึ่งลี้กว่า

ที่ไกลๆ มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา

เป็นทหารของกองรักษาการณ์เดินลาดตระเวนยามค่ำคืน

เสียงต่อสู้ปะทะกันก่อนหน้านี้ทำให้ทางการแตกตื่น

หลี่มู่ตะบึงเข้าไป โอบมืออุ้มสตรีชุดขาวที่สลบไสลขึ้นมาแล้วหายไปในความมืดดุจหมอกควัน

หลังจากนั้นชั่วขณะหนึ่ง ทหารลาดตระเวนชุดหนึ่งก็มาถึงสถานที่เกิดเหตุ

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ใต้เท้า มียอดฝีมือประมือกัน ตรงนี้หลงเหลือเสื้อผ้าทิ้งไว้”

เหล่าทหารตรวจสอบ ปิดล้อมสถานที่เกิดเหตุ

ผู้นำกองกำลังทหารคือไช่จือเจี๋ยแห่งกองรักษาการณ์เขตเมืองฝั่งตะวันออก

สายตาของเขากวาดมองสถานที่เกิดเหตุ สีหน้าเคร่งขรึม

กลางอากาศมีร่องรอยการต่อสู้ของยอดปรมาจารย์ ส่วนกลิ่นเหม็นและน้ำเหลืองบนพื้นก็คือซากที่เหลือจากยาย่อยสลายศพ วิธีการเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปทำได้ เกรงว่าเมื่อครู่ที่นี่จะเกิดการต่อสู้ที่น่ากลัวขึ้น

เขาไม่อยากเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งของขั้วอำนาจใหญ่อย่างนี้

“เก็บกวาดที่เกิดเหตุ เผาเสื้อผ้า กำจัดพิษทิ้ง…จากนั้นก็แยกย้ายไปเถิด”

เขาตัดสินใจทำเช่นนี้

……

หลี่มู่อุ้มสตรีชุดขาวทะยานไปตลอดทาง

เขาไม่ได้กลับไปตรอกไล่หมู่

เพราะเขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนต่อหน้านาง หากทำเช่นนั้นจะถูกดึงเข้าไปพัวพันกับการแย่งชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์จักรวรรดิ ขัดกับปณิธานแรกเริ่มของเขา ทั้งยังจะสิ้นเปลืองกำลังมาก

แต่จะไปที่ไหนเล่า?

หอสดับเซียนก็ไปไม่ได้เหมือนกัน

ในสมองของหลี่มู่ผุดความคิดขึ้นมานับไม่ถ้วน พบว่านอกจากตรอกไล่หมูและหอสดับเซียนแล้ว เขาก็ไม่มีที่อื่นที่คุ้นเคยอีกในเมืองฉางอัน…นี่มันจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเกินไปแล้ว

จากการสำรวจตลอดทาง สุดท้ายเขาก็มาถึงภูเขาลูกหนึ่งซึ่งห่างไกลจากตัวเมืองฉางอันพอสมควร

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อเขาอะไร ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตก ผู้คนบางตา ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ทั้งยังมีแม่น้ำไหลผ่าน ยอดเขายังมีทะเลสาบแห่งหนึ่ง สภาพสมบูรณ์ดั้งเดิมมาก บริเวณรอบๆ ไม่มีร่องรอยการดำรงชีวิตของมนุษย์

‘หาที่รักษาบาดแผลและถอนพิษให้นางก่อนก็แล้วกัน’

หลี่มู่บินพุ่งไปยังยอดเขา แล้วหยุดลงบนหาดหินริมทะเลสาบ

เมืองฉางอันก็ช่างใหญ่จริงๆ ในเมืองมีภูเขามีทะเลสาบ หากเอาไปไว้บนโลก ทิวทัศน์เช่นนี้ทำได้แค่ไปหาตามสวนสาธารณะเท่านั้น อีกทั้งยังจะเป็นธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์แบบนี้เสียที่ไหน

หลี่มู่วางสตรีชุดขาวไว้บนก้อนหินที่ค่อนข้างราบเรียบก้อนหนึ่ง

เมื่อเปิดผ้าคลุมหน้าออก เห็นใบหน้างดงามน่าตะลึงดุจนางเซียน

ถึงแม้ก่อนหน้านี้หลี่มู่จะเคยเห็นแล้วครั้งหนึ่ง เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังต้องตะลึงงันอีกครั้ง นั่นเป็นใบหน้าที่งดงามเสียเหลือเกิน หากใช้คำขยายความที่เกินเหตุใดๆ มาบรรยายก็ไม่มากเกินไป หากเปรียบความงามของฮวาเสี่ยงหรงเป็นสาวงามบ้าน เช่นนั้นความงดงามของสตรีชุดขาวผู้นี้ก็คือคุณหนูผู้สูงศักดิ์ ในความงามล้ำแฝงด้วยรัศมีสูงส่งที่ทำให้คนไม่กล้าจ้องมอง ไม่กล้าคิดอกุศลด้วย

เพียงแต่เพราะโดนพิษ สีหน้าของนางจึงเขียวซีด มีละอองหมอกสีเขียวจางๆ ชั้นหนึ่งปกคลุม ใบหน้าซีดขาวเป็นอย่างยิ่ง

“ไม่รู้ว่าโดนพิษอะไรเข้า”

หลี่มู่ไม่รู้จะลงมืออย่างไรไปครู่หนึ่ง

สตรีชุดขาวผู้นี้พลังไม่ด้อยเลย อย่างน้อยก็ประมาณขั้นยอดปรมาจารย์ กระนั้นก็ยังโดนวางยาเสียได้ อีกทั้งยังไม่อาจควบคุมพิษในกายได้อีก นั่นหมายความว่าพิษชนิดนี้น่ากลัวเป็นที่สุด สามารถจัดอยู่ในอันดับของพิษประหลาดใต้หล้าได้แน่นอน

หลี่มู่สำแดงวิชาเต๋า เรียก ‘ตราประทับพลังชีวิต’ ออกมา แล้วจึงส่งเข้าไปในร่างของสตรีชุดขาวที่ไร้สติ

ลมหายใจของนางสม่ำเสมอขึ้นเล็กน้อย

แต่ละอองหมอกพิษสีเขียวอ่อนบนใบหน้ากลับยังไม่มีทีท่าว่าจะสลายไป

“ ‘ตราประทับพลังชีวิต’ มีผลต่อการรักษาบาดแผลมากที่สุด เพิ่มพลังชีวิตในกายคนได้ แต่กลับไม่มีประโยชน์ในการขับพิษ…งานยากเสียแล้ว” หลี่มู่ขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าตนเองก่อนหน้านี้คิดตื้นเขินเกินไปหน่อย ตอนนั้นน่าจะจับเป็นยอดปรมาจารย์ชุดดำ เก็บชีวิตเอาไว้

คิดไปคิดมา คงทำได้แค่ใช้วิธีสุดท้ายเท่านั้นแล้ว

ป้อนเลือด

หลี่มู่ดื่มเลือดงูของพรรคเสินหนงมา พิษร้ายไม่กล้ำกราย อีกทั้งกายเนื้อยังฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ พูดได้ว่ามีพลังวิญญาณของตน เลือดในกายก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์ หากโชคดีละก็ เลือดของเขาอาจจะแก้พิษในกายของสตรีชุดขาวได้

เขาโคจรเคล็ดวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ใช้นิ้วมือข้างซ้ายกรีดข้อมือข้างขวา

จากนั้นจ่อปากแผลที่ข้อมือไปตรงปากของสตรีชุดขาว

แต่ปากของนางปิดสนิท

หลี่มู่จนปัญญาจึงต้องบีบปากของนาง ก่อนจะหยดเลือดที่ไหลรินออกจากข้อมือไปที่ปากทีละหยด

หลังจากที่หยดไปถึงยี่สิบหยด ปากแผลที่ข้อมือขวาก็สมานตัวสนิท

หลี่มู่กรีดข้อมืออีกครั้ง ทำไปเช่นเดิม

ทำซ้ำๆ เช่นนี้ไปประมาณหกครั้ง หลี่มู่ก็หยุดมือลง

“เลือดเยอะขนาดนี้ อย่างน้อยๆ ก็หนึ่งเซิ่ง[1]แล้วมั้ง หากได้ผลก็พอแล้วแน่นอน หากไม่ได้ผลหยดเข้าไปอีกก็เปลืองเปล่า” หลี่มู่มองใบหน้างามวิจิตรไร้ใดเทียมของสตรีชุดขาว แล้วเอ่ยขึ้น “จะรอดหรือไม่ก็ดูวาสนาของเจ้าแล้วกัน อะไรที่ข้าทำได้ข้าทำไปหมดแล้ว”

เขาค่อนข้างปวดใจ

ด้วยพลังฝึกของเขาในตอนนี้ ในเลือดทุกหยดแฝงไว้ด้วยพลังมหาศาล และเป็นส่วนหนึ่งในพลังของเขา ไม่เหมือนกับคนทั่วไปที่เสียเลือดแล้วก็แค่บำรุงสร้างเลือดขึ้นมาใหม่ได้ เลือดทุกหยดที่สูญเสียออกไปของเขา ล้วนต้องผ่านการฝึกฝนถึงจะบำรุงกลับคืนมาได้

เวลาผ่านไป

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งก้านธูป

หลี่มู่เห็นละอองหมอกสีเขียวจางๆ บนใบหน้าของสตรีชุดขาวจางลงไปบ้างแล้ว

“อืม ดูแล้วน่าจะได้ผลอยู่บ้าง”

หลี่มู่วางใจลงเล็กน้อย

จากนั้นสายตาของเขาก็หยุดลงที่ไหล่ขวาของนาง

ลูกธนูทำขึ้นพิเศษดอกหนึ่งปักอยู่ที่ไหล่ของนาง ตอนนี้ยังมีเลือดไหลซึมออกมา ที่สำคัญที่สุดคือเลือดที่ไหลจากปากแผลเจือสีเขียวเข้ม เห็นได้ชัดว่าลูกธนูอาบด้วยพิษ

ต้องถอนลูกธนูทิ้ง

ผิวขาวเนียนละเอียดดุจหยกงามเผยออกมาท่ามกลางเสียงฉีกของแพรพรรณ ทำให้หลี่มู่รู้สึกตาลายเป็นระลอกๆ หัวใจเต้นโครมคราม

……………………………………………………

[1] เซิ่ง คือหน่วยตวงของจีนโบราณ 1 เซิ่ง เท่ากับ 200 มิลลิลิตรโดยประมาณ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา