จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 198

“ข้ารู้สึกเหมือนเนื้อตัวเบาหวิว จะลอยตามลมไปแล้ว…” ฮวาเสี่ยงหรงลืมตา ใบหน้าตื่นเต้นดีใจ รู้สึกเหมือนทั้งตัวมีพลังเต็มเปี่ยมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความรู้สึกสบายเช่นนี้ไม่ใช่ความรู้สึกสบายอย่างที่นอนเต็มอิ่มแล้วตื่นขึ้นมา แต่เหมือนโลกทั้งใบที่อยู่ต่อหน้าของตนสวยสดงดงามขึ้น นางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ผลจากวิธีการหายใจแบบนี้ช่างชัดเจนยิ่งนัก…”

ท่าทางอย่างสาวน้อย น่ารักไร้เดียงสา

หลี่มู่พูดขึ้น “ยึดตามวิชานี้ ขอแค่มีเวลาก็ฝึกฝนทุกวัน อีกไม่นานก็จะเป็นสุดยอดฝีมือที่เกรียงไกรใต้ผืนฟ้าได้แน่นอน” เขาคาดหวังในตัวฮวาเสี่ยงหรงมากนัก

ฮวาเสี่ยงหรงตาเป็นประกาย บิดขี้เกียจเล็กน้อย ท่วงท่าชวนให้หลงใหล “ขอแค่ได้ติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย ข้าก็พอใจแล้ว” พูดจบใบหน้าเรียวขาวผ่องก็แดงระเรื่อ พวงแก้มแดงปลั่ง น่ารักเป็นอย่างยิ่ง

นี่นับว่าบอกความในใจกับหลี่มู่แล้ว

จิตใจที่ทะนงตนของหลี่มู่ในฐานะหนุ่มซิงไปถึงจุดเต็มอิ่มจนถึงขีดสุด

เขาบอก “อีกครู่หนึ่งเจ้าให้ซินเอ๋อร์ไปบอกกับท่านแม่ไป๋ คืนนี้ข้าจะค้างอยู่ที่หอสดับเซียน ให้นางอย่าได้มารบกวนอีก…”

“เอ๋…คุณชายจะค้างคืนที่นี่?” ฮวาเสี่ยงหรงร้องตกใจ ใบหน้าร้อนวาบ ดวงหน้ายิ่งแดงอย่างเห็นได้ชัด เสียงสั่นเล็กน้อย ท่าทางก็เหมือนทำอะไรไม่ถูก

หลี่มู่อึ้งไป ก่อนตั้งสติกลับมาได้ทันที ฮวาเสี่ยงหรงเข้าใจความหมายของตัวเองผิดแล้ว

แต่ก็เห็นนางก้มหน้าลงอย่างน่าเอ็นดู นิ้วเรียวงามม้วนผมของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว พูดเสียงเบาเหมือนยุงว่า “ที่จริง…ที่จริงข้า…ก็คิดว่าตัวเองเป็นคนของคุณชายตั้งนานแล้ว ข้า…จะให้ซินเอ๋อร์ไปบอกเดี๋ยวนี้”

นางลนลานอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังตื่นเต้นหน่อยๆ

ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูแบบนั้นเหมือนกวางน้อยที่ตกใจ อายจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา

ถึงแม้จะเป็นนางคณิกาคนดังที่นามระบือไปไกล แต่ความจริงแล้วก็เป็นแค่สาวน้อยอายุสิบหกเท่านั้น ยังไม่เคยผ่านเรื่องราวทางโลก แต่กลับเข้าใจอะไรมากกว่าเด็กสาวทั่วไป นางรู้ว่าค้างคืนหมายถึงอะไร ดังนั้นจึงยิ่งขวยเขิน

เป็นความเขินอายของสตรีพรหมจรรย์

หลี่มู่ซาบซึ้งใจ

โลกใบนี้ไม่ได้เปิดกว้างเหมือนกับดาวโลกที่จะคบกันแบบมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนได้ โดยเฉพาะจักรวรรดิฉินตะวันตกที่จารีตประเพณีเคร่งครัด ผู้หญิงคนหนึ่งตอบรับคำขอร้องเช่นนี้ของฝ่ายชาย นั่นหมายความว่านางรักชายคนนี้เป็นที่สุดจริง และอยากจะมอบทุกสิ่งให้ด้วยใจรักมั่น

ตัวข้าท่องไปไม่หยุดใต้หล้า มิควรค่ากับความรักที่มอบให้

บุญคุณของสาวงามยากจะรับไว้จริงๆ

จิตใจหลงตัวเองของหลี่มู่ได้รับการเติมเต็ม นอกจากความซาบซึ้งก็อดรู้สึกถึงความกดดันไม่ได้

ความรู้สึกที่เขามีต่อฮวาเสี่ยงหรง ตกลงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่?

เป็นความรักหรือ?

เขาก็ไม่แน่ใจ

แต่ยามว่างจากการฝึกก็จะคิดถึงนาง นี่คือเรื่องจริง

ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาขบคิดปัญหาพวกนี้อย่างเห็นได้ชัด

เขารีบอธิบาย “ฮวาเอ๋อร์ ข้าจะต้องจากเมืองฉางอันไปทำธุระอะไรสักหน่อย ทว่าไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าข้าไปแล้ว จึงอยากจะสร้างสถานการณ์ลวงว่าข้าค้างคืนที่นี่…” หลี่มู่พูดๆ ไปแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่า…บ้าเอ๊ย แผนที่ตัวเองคิดขึ้นมาช่างแย่จริงๆ หากเป็นแบบนี้ ความบริสุทธิ์ของนางก็นับว่าพังลงในมือตนแล้ว

ฮวาเสี่ยงหรงได้ยินก็ยิ่งอายเข้าไปใหญ่ นางร้องอ้อแล้วรีบเอ่ยขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว คุณชายวางใจได้ ข้าให้ความร่วมมือกับท่านแน่นอน” นางไม่มีแม้แต่คำกล่าวโทษเลยสักนิด อันที่จริงนางดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยหลี่มู่ได้

หลี่มู่ถอนหายใจอยู่ข้างใน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร เขายื่นมือไปจับมือเล็กๆ ของนางเอาไว้อย่างอดไม่ได้ ก่อนจะบีบเบาๆ

ฮวาเสี่ยงหรงเผยสีหน้าอ่อนโยน กลิ่นอายราวดอกกล้วยไม้ นางไม่ขัดขืน ปล่อยให้หลี่มู่จับมือของตนเอาไว้

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับเพศตรงข้ามหลังจากเติบโตมาถึงขนาดนี้ แต่ไม่มีความรู้สึกตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกหรืออึดอัดใดๆ อย่างน่าประหลาด กลับกันความอบอุ่นที่ส่งมาจากมือของหลี่มู่ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“ฝึกฝนวิธีหายใจที่ข้าสอนให้ดี หากมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจ ก็รอข้ากลับมาก่อน”

หลี่มู่ลุกขึ้นยืน

เขาโคจร ‘ยอดวิชาเปลี่ยนร่างย้ายกล้ามเนื้อแปรกระดูก’ ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของฮวาเสี่ยงหรง กล้ามเนื้อของเขาเคลื่อนย้าย กระดูกเปลี่ยนไป สุดท้ายก็กลายเป็นชายหน้ายาวดูแล้วอายุราวๆ สามสิบกว่า จากนั้นก็สำแดงวิชาเต๋า ปกปิดกลิ่นอายของตน และไปจากหอสดับเซียนอย่างเงียบงัน

……

วันที่สองตอนบ่าย

ฤดูใบไม้ร่วง แสงอาทิตย์สาดส่อง

ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์สุขสงบ ทุกแห่งตกอยู่ในบรรยากาศปีติยินดีแห่งการเก็บเกี่ยว

อำเภอขาวพิสุทธิ์นับว่าเป็นเมืองภูเขาครึ่งหนึ่ง การเกษตรปลูกเป็นแบบนาขั้นบันไดเป็นหลัก ดีที่มีแหล่งน้ำธรรมชาติมาก ระบบน้ำพัฒนา การรดน้ำจึงไม่ใช่ปัญหา รวมกับปีนี้ปริมาณน้ำฝนนับว่าสมบูรณ์ ผลเก็บเกี่ยวของไร่นาจึงไม่เลวเลย

รถม้าเดินทางมาบนถนนสายหลักนอกอำเภอโดยราบรื่นตลอดทาง

“อากาศดีจริงๆ เลยนะ” มารดาหลี่มู่นั่งอยู่ริมหน้าต่างรถม้า เมื่อมองไปยังมวลทะเลภูเขาเขียวด้านนอก ก็รู้สึกแบบนี้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เมืองฉางอันก็นับว่าเป็นสถานที่ที่ทิวทัศน์งดงามมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับทิวเขาขาวพิสุทธิ์ยังห่างชั้นอีกไกลนัก เขาขาวพิสุทธิ์ที่ใบไม้ต้องลมพลิ้วไหวราวกับแดนเซียนบนโลกมนุษย์ เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่สร้างจากอิฐกระเบื้องซึ่งมองเห็นได้จากไกลๆ สวยงามแบบโบราณ ก็ดูประหนึ่งวังของเซียนในแดนเซียน

ชุนเฉ่าและเซี่ยจวี๋สองคนพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดตลอดทาง พวกนางที่ไม่เคยออกจากเมืองฉางอันเลยสิบกว่าปีไม่ต่างกับนกกระจาบฝนในกรงทองที่สุดท้ายก็หนีออกมาได้ รู้สึกสงสัยไปเสียทุกสิ่ง

เมื่อวานตอนบ่ายออกเดินทางจากเมืองฉางอันมาตลอดทั้งวันทั้งคืน วันนี้ตอนบ่ายก็มาถึงนอกเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้ว

นี่เร็วกว่าที่หลี่มู่คิดเอาไว้เสียอีก

ม้าและรถม้าที่เจิ้งฉุนเจี้ยนหามาให้เป็นของเยี่ยมยอดในเยี่ยมยอดจริงๆ

หลังจากผ่านการตรวจสอบหน้าประตูเมืองอำเภอ ขบวนรถม้าก็เข้าไปในเมืองตามถนนหลัก มุ่งหน้าไปยังที่ว่าการอำเภอขาวพิสุทธิ์ บนถนนมีคนเดินผ่านไปมาไม่น้อย สีหน้าสุขสงบ มีอิสระเสรี ไม่ว่าจะเป็นเด็กน้อยหรือคนเฒ่าคนแก่ล้วนยิ้มแย้มแจ่มใส ใบหน้าของผู้คนที่สัญจรไปมาสดชื่นเปล่งปลั่ง เห็นชัดว่าชีวิตความเป็นอยู่ในอำเภอสุขสบายเป็นอย่างมาก

“ลูกชายข้าจัดการดูแลอำเภอขาวพิสุทธิ์ได้ไม่เลวเลย” มารดาหลี่มู่เอ่ยปากชม

นางมีชาติกำเนิดจากตระกูลชนชั้นสูง แน่นอนว่าย่อมตาแหลมอยู่บ้าง มองจากจุดเล็กๆ ก็รู้เรื่องทั้งหมด และมีดุลยพินิจในด้านเหล่านี้

หลี่มู่ยิ้มแย้มไม่พูดจา

สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นความดีความชอบของพวกที่ปรึกษาอย่างเฝิงหยวนซิง

เขาไม่ได้ลงมือเองมาโดยตลอด

แต่ว่าช่วงที่ตนจากไป ดูแล้วทุกอย่างในอำเภอขาวพิสุทธิ์ยังราบรื่นดี ไม่ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น เขาก็นับว่าโล่งใจแล้ว

ไม่นานนัก คนกลุ่มหนึ่งก็เข้าไปในที่ว่าการอำเภอ

หลี่มู่ไปจากอำเภอแค่สิบกว่าวันเท่านั้น ที่ว่าการก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลถึงเพียงนี้

‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงกับที่ว่าการอำเภอ

ละอองหมอกกลิ่นอายเซียนอันเลือนรางปกคลุมทั่วที่ว่าการ ความเข้มข้นของพลังวิญญาณมากจนน่าประหลาด ต้นไม้ที่แต่เดิมย้ายมาปลูกไว้ เมื่ออยู่ในสภาพการหล่อเลี้ยงจากพลังวิญญาณเช่นนี้ก็เหมือนโตมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว เขียวดกชุ่มชอุ่ม ทั้งยังมีนกกระจาบฝน นกกระเรียนขาว นกพิราบขาว และสัตว์ปีกศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ อีกหลายสิบชนิด จากนอกกำแพงจะมองเห็นได้ว่าสายน้ำไหลคดเคี้ยว เงียบสงบและงดงาม ไม่เหมือนกับโลกมนุษย์ แต่ราวกับเป็นคฤหาสน์เซียน

“นี่ก็คือที่ว่าการอำเภอ?” มารดาหลี่มู่ตะลึงตาค้าง ยากที่จะเชื่อได้

อากาศในที่ว่าการอำเภอ ยามหายใจเข้าไปยังรู้สึกว่าหวานฉ่ำ ทำให้จิตใจผ่อนคลาย เสมือนว่ามีน้ำพุศักดิ์สิทธิ์กำลังชะล้างจิตใจและวิญญาณของตน รู้สึกน่าอัศจรรย์เป็นที่สุด

หลี่มู่ก็ประหลาดใจมากเช่นกัน

ทุกสิ่งในเขตที่ว่าการอำเภอเต็มไปด้วยพลังชีวิต ทำให้รู้สึกเหมือนภาพมายาไม่ก็ความฝัน

การเปลี่ยนแปลงของ ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ที่มีต่อที่ว่าการก็แค่สิบกว่าวันเท่านั้น กลับเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้เชียวหรือ? เกินจริงไปหน่อยแล้วกระมัง!

หลังจากตกใจ หลี่มู่ก็รู้สึกเบิกบานยินดี

ผลลัพธ์ดีกว่าตนคิดเอาไว้เสียอีก หากฝึกฝนในสภาพแวดล้อมแบบนี้ แค่หายใจเฮือกหนึ่งก็เพิ่มพลังฝึกได้แล้วนะเนี่ย

พวกเฝิงหยวนซิงและเจินเหมิ่ง เมื่อได้ยินข่าวก็รุดหน้ามาต้อนรับทันที

“คารวะใต้เท้า”

“ใต้เท้า ท่านกลับมาเสียที”

ทั้งสองคนตื่นเต้นมาก

“ใต้เท้า มีงานราชการสะสมไว้มากมายนัก ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ข้าน้อยเร่งจะให้คนไปเตรียมม้วนเอกสารมารายงานต่อท่าน…” เฝิงหยวนซิงเอ่ยอย่างดีใจเหลือคณา

หลี่มู่บอก “เอ่อ…เดี๋ยวค่อยว่ากันก็แล้วกัน”

เอกสารราชการอะไรพวกนี้ เอามันไปไกลๆ เลยเถอะ ข้าไม่ได้อยากดูมันสักนิด

ดูจากท่าทางของสองคนนี้ เห็นได้ชัดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองฉางอันยังไม่แพร่มาถึงที่นี่ แต่นี่ก็สมเหตุสมผลแล้ว เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ห่างไกลกันดาร การคมนาคมไม่สะดวก อีกทั้งการสื่อสารของโลกนี้ยุคนี้ก็ไม่ได้พัฒนาเหมือนที่คิดเอาไว้

พวกหลี่มู่ได้รับการต้อนรับเข้าไปในที่ว่าการอำเภอ

เฝิงหยวนซิงหลังจากที่รู้ฐานะของมารดาหลี่มู่แล้วก็ยิ่งตกใจ ไม่กล้าเพิกเฉย รีบจัดเตรียมข้ารับใช้หลายคนมาคอยปรนนิบัติรับใช้ และจัดแจงทำความสะอาดเรือนหลักซึ่งสร้างขึ้นใหม่ในที่ว่าการ

ฐานะและตำแหน่งของชุนเฉ่ากับเซี่ยจวี๋ก็สูงขึ้นตามไปด้วย

ยามเมื่อเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงนั่งรถเข็นมาปรากฏตัว ใจของหลี่มู่ก็โล่งได้ในที่สุด

ท่าทางของปีศาจน้อยดูไม่เลวทีเดียว สีหน้าแดงระเรื่อ แข็งแรงกว่าตอนที่หลี่มู่จากไปมากนัก อีกทั้งดูไปแล้วสภาพจิตใจของเขาก็ดีมาก ไม่ได้หดหู่เพราะขาบาดเจ็บพิการ

หมอยาสาวจ้าวหลิงแห่งสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ก็มาด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นหลี่มู่ หงส์ฟ้าน้อยผู้หยิ่งทะนงก็ไม่ได้ทักทาย เพียงแค่ติดตามอยู่ข้างหลังคอยเข็นรถเข็นให้ชิงเฟิงเท่านั้น ทำท่าทางเหมือนไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่สายตาที่แอบลอบมองหลี่มู่เป็นบางครั้งก็ยังเปิดเผยความสงสัยใคร่รู้ในใจนางออกมา

ไม่เหมือนกับพวกเจินเหมิ่งเฝิงหยวนซิง จ้าวหลิงเป็นอัจฉริยะน้อยแห่งสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นพลังฝึกของตัวเองหรือประสบการณ์ทฤษฎีวิถียุทธิ์ก็ล้วนสูงกว่ามาก นางสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าในร่างของหลี่มู่ตอนนี้มีกลิ่นอายที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง ทำให้นางรู้สึกถึงความกดดัน และยิ่งรู้สึกห่างชั้นเกินจะเทียบมากขึ้นไปอีก

ความรู้สึกนี้ นางเคยสัมผัสได้จากตัวเจ้าสำนักเท่านั้น

………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา