จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 201

สำหรับหลี่มู่ ประโยชน์ที่มากที่สุดคือสามารถใช้เป็นตัวหล่อลื่นในการฝึกฝน ช่วยเขาทะลวงขั้น ‘หมัดยุทธ์แท้’ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าหลี่มู่จะเชี่ยวชาญหมัดยุทธ์แท้สามท่าแรกอย่างไร ทว่าเมื่อทะลวงถึงท่าที่สี่ก็ยากจะสำเร็จได้ ร่างกายจะเจ็บปวดเหมือนเอ็นฉีกกระดูกแตกหัก

หลี่มู่เดาว่านี่อาจจะเกี่ยวกับการฝึกกำลังภายในไม่สำเร็จ

พูดจากคุณสมบัติแล้ว ‘หมัดยุทธ์แท้’ ถือเป็นเคล็ดวิชาต่อสู้ เป็นทักษะอย่างหนึ่ง

ทักษะจำต้องได้รับการเสริมจากกำลังภายใน

และตอนนี้ ในที่สุดเขาก็มองเห็นแสงสว่างเสี้ยวหนึ่งแล้ว

ขอบฟ้าไกลลิบทอแสงสีขาว แสงอรุณรุ่งย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดงอ่อนไปครึ่งหนึ่ง

สุสานทหารถูกปิดลงไปแล้วหลายวันจึงเงียบสงัดนัก ไม่มีเงาคนแม้แต่คนเดียว

หลี่มู่เห็นเวลาพอสมควรแล้ว จึงผิวปากเรียกเสือดาวเบญจมาศที่วิ่งเล่นไล่จับผีเสื้ออยู่มา แล้วขี่มันออกไปจากสุสาน

เขาก็ยังคงไม่กลับตรอกไล่หมู แต่ไปหอสดับเซียนของหน่วยเลี้ยงรับรองที่ตั้งอยู่บนถนนกลิ่นกำจาย

ตอนนี้ฮวาเสี่ยงหรงเพิ่งจะก้าวสู่เส้นทางการฝึกฝน จำต้องคอยชี้แนะให้การสนับสนุน การพัฒนาของกายเต๋าฟ้าประทานรวดเร็วนัก ควบคุมยาก มีความไม่มั่นคงมากกว่าเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงเสียอีก ดังนั้นหลี่มู่จึงไม่ค่อยกล้าประมาท ต้องไปดูอีกสักหน่อย

หลังจากร่างของหลี่มู่หายไปแล้ว ท่ามกลางสวนสุสานที่ยามราตรียังไม่หายไปหมด มีระลอกคลื่นพลังงานที่ผู้อื่นไม่อาจสัมผัสได้ปรากฏขึ้น ร่างเงาที่เหมือนละอองหมอกสีเลือดหลายร่างเผยกายอย่างรางเลือนรอบๆ ‘ค่ายกลมังกรเขียวพ้นน้ำ’ ผู้เป็นหัวหน้าคือขุนพลอัคคีผู้นั้นนั่นเอง

“เขา…ทำได้จริงๆ ด้วย”

“พลังวิญญาณชีพจรมังกรกลับ…”

“รู้สึกเหมือนพวกเราทำอะไรผิดไปแล้ว”

“นี่นับว่าตบหน้าตัวเองหรือไม่?”

“หากเขาดูดพลังวิญญาณชีพจรมังกรจนเกลี้ยง พวกเรามิแตกดับกันรึ?”

สีหน้าของเงาละอองหมอกสีเลือดของขุนศึกทั้งหลายกระอักกระอ่วนกันเล็กน้อย

วันนั้นแค่สัญญาไปตามปาก เพราะจากที่พวกเขารู้ ยังไม่มีใครดูดพลังวิญญาณชีพจรมังกรเอามาใช้เองได้ แม้แต่ใต้เท้าสำนักเทพผู้นั้นก็ยังทำไม่ได้ ใครจะไปคิดว่าหลี่มู่กลับทำได้จริงๆ นี่มันน่ากระอักกระอ่วนเหลือเกิน

“นี่มันค่ายกลวิชาเวทอะไร? ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”

สายตาของขุนพลอัคคีหยุดอยู่ที่ ‘ค่ายกลมังกรเขียวพ้นน้ำ’ ที่หลี่มู่ปิดลงชั่วคราว สีหน้าเผยอาการอยากรู้ เขาสัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่าค่ายกลนี้มีพลังอย่างที่ไม่เคยมีเจอก่อนชนิดหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกอยากเข้าใกล้และรู้สึกถึงความหวาดเกรง

“เขาดูดพลังวิญญาณชีพจรมังกรแห้งแน่…หากเขายินดีละก็” ขุนพลอีกคนหนึ่งพูด

“เช่นนั้นพวกเราเจรจากับหลี่มู่ ให้เขายั้งมือ” มีคน…ไม่สิ มีวิญญาณเสนอขึ้น

“พูดกลับไปกลับมาไม่ค่อยดีกระมัง?”

“ใครจะไปรู้ว่าเขาจะดูดพลังวิญญาณชีพจรมังกรได้จริงๆ เล่า”

“ทำแบบนี้ก็จะมองตื้นลึกหนาบางของพวกเราออกกระมัง”

“อย่างไรก็ดีกว่าไม่มีพลังวิญญาณชีพจรมังกร แล้วพวกเราก็แตกสลายไปนะ”

กลุ่มขุนพลผีหารือกันจ้อกแจ้ก สุดท้ายก็ไม่มีความคิดเห็นที่ตรงกัน การกระทำของหลี่มู่ทำให้พวกเขาลำบากใจและกลัดกลุ้มอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งที่หนักยิ่งกว่าคือพวกเขายังเอ่ยปากไปแล้วว่า ไม่ว่าหลี่มู่จะดูดซับพลังได้หรือไม่ก็ยินดีลงมือช่วยครั้งหนึ่ง…เฮ้อ เป็นผีก็จะวางท่าไม่ได้สินะ

ขุนพลผีที่กลัดกลุ้มใจกลุ่มหนึ่งสุดท้ายก็หายไปก่อนดวงอาทิตย์จะมาเยือน กลับเข้าไปหลับใหลในหลุมใครหลุมมัน

……

หลายวันนี้ เมืองฉางอันดูไปแล้วเหมือนสุขสงบ แต่แท้ที่จริงแล้วมีการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ

คนทั่วไปไม่มีทางสัมผัสบรรยากาศอันตึงเครียดในเมืองได้ แต่คนที่ข่าวสารว่องไวกลับสัมผัสได้ถึงความกดดันของสงครามที่จะปะทุขึ้น เห็นได้จากการเคลื่อนย้ายกองกำลังทหารนอกเมืองฉางอัน ม้าเร็วที่ห้อตะบึงไปบนถนนและจุดส่งสาร รวมทั้งคนแปลกหน้าที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นบริเวณตรอกไล่หมูและหอสดับเซียน

บุตรชายคนเล็กของเจิ้นซีอ๋องตายแล้ว

ถูกหลี่มู่ฆ่าตาย

ขุนพลรักษาการณ์แห่งกองรักษาการณ์ฝั่งเมืองตะวันตกก็ตายแล้ว

และถูกหลี่มู่ฆ่าตายเช่นกัน

เลือดสดย้อมแผ่นอิฐผืนดินหน้าอนุสาวรีย์ทหารกล้าที่อยู่บนถนนซุ้มประตูสุสานฉางอันจนแดงฉาน ถึงแม้จะทำความสะอาดล้างรอยเลือดและเก็บศพเรียบร้อยนานแล้ว แต่กลิ่นคาวเลือดในอากาศยังไม่จางหายไป ว่ากันว่ายังมีหัวหน้าทหารตายด้วยอีกคน แต่ความตายของบุคคลตัวเล็กๆ แบบนี้เทียบกับฉินหลินหรือเจี่ยงปิ่งแล้วไม่มีใครสนใจเลย

ข่าวนี้ถึงแม้ทางการจะปิดเอาไว้ แต่ขอแค่เป็นคนที่มีฐานะระดับหนึ่งในเมืองก็ยังรู้ได้รางๆ เสี้ยวขณะที่ได้ยินข่าวนี้ พวกเขาคิดว่าหูของตัวเองฟังผิดไป

อ๋องน้อยคนหนึ่งตาย ทั้งยังถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาผู้คน

นี่จะก่อให้เกิดพายุคลั่งลูกใหญ่ปานใดกัน

ในขณะเดียวกัน เขายังสังหารขุนนางทหารขั้นห้าของจักรวรรดิด้วย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา