จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 202

เจิ้งฉุนเจี้ยนรายงาน

“หลิวอู๋เฟิง? นี่ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือเหมือนกัน ‘กระบี่เซียนกลางเมฆา’ ยี่สิบสี่ท่าได้ชื่อว่าเป็นวิชากระบี่เซียนไร้พ่าย คราวนี้เจิ้นซีอ๋องคงจะถูกยั่วโทสะเข้าจริงๆ” หลี่กังใบหน้าดุจหยกประดับกวน[1] หนวดเคราดำขลับ สง่าทรงภูมิ หล่อเหลางดงาม แย้มยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “รวมกับอีกหลายสิบสำนักอย่างสำนักกระบี่ไร้เทียมทาน หอวายุพิรุณ สำนักดับนิวรณ์ที่มาเยือนหลายวันที่ผ่านมา พวกนั้นเป็นขั้วอำนาจของจวนเจิ้นซีอ๋องทั้งสิ้น หึๆ ชื่อเสียงและบารมีของสำนักพวกนี้ไม่ธรรมดาเลย”

“จะเผยข้อมูลให้คุณชายสักเล็กน้อยหรือไม่?” เจิ้งฉุนเจี้ยนลองถาม

หลี่มู่ไม่มีรากฐานอยู่ในเมืองฉางอัน ย่อมไม่รู้ข้อมูลมากมาย หากเปิดเผยข้อมูลพวกนี้ให้กับเขา บางทีอาจจะช่วยได้บ้าง

หลี่กังส่ายหน้า “ให้เขาจัดการเองเถอะ”

เจิ้งฉุนเจี้ยนพยักหน้า ในใจกำลังขบคิดความหมายของประโยคนี้

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาคาดเดาความคิดของใต้เท้าเจ้าเมืองไม่ได้

ในใจของท่านเจ้าเมืองคิดอย่างไรกับบุตรชายที่ตัดสัมพันธ์พ่อลูกคนนี้กันแน่?

คิดอยากดึงมาเป็นพวกหรือ

เช่นนั้นทำไมหลังจากจบศึกประลองที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์วันนั้นจึงไม่อยู่ที่สนามต่อสู้ และก็ไม่มีทีท่าอยากจะพบหลี่มู่ด้วย

หรือว่าจะคอยซ้ำเติม?

แต่ก็ยังแอบสนใจข่าวคราวของหลี่มู่มากอยู่

เจิ้งฉุนเจี้ยนมองไม่ค่อยออกแล้ว

“อาจารย์จ้าวแห่งจวนเจิ้นซีอ๋องก็ถึงเมืองฉางอันแล้วเช่นกัน มาขอเข้าพบใต้เท้าหลายครั้งแล้ว อาจารย์จ้าวผู้นี้ว่ากันว่าเป็นบุตรชายของแม่นมเจิ้นซีอ๋อง เป็นเพื่อนเรียนของเจิ้นซีอ๋องเมื่อยามเยาว์วัย ทั้งสองมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมาก มีอำนาจไม่น้อยเลย ใต้เท้าจะหาเวลามาเจอเขาหรือไม่ขอรับ?” เจิ้งฉุนเจี้ยนถามอีก

“ไม่พบ” หลี่กังแค่นเสียงเย็น “ถ้าเจิ้นซีอ๋องมาด้วยตัวเอง บางทีข้าอาจจะไว้หน้าเขาบ้าง ส่งบ่าวรับใช้มาคนหนึ่งก็คิดจะพบข้า?” ขอบเขตขั้วอำนาจของเจิ้นซีอ๋องอยู่ที่เมืองเฟิ่งเสียงทางตะวันออก ระหว่างฉางอันยังมีเมืองฝูเฟิงเมืองใหญ่แห่งจักรวรรดิกั้นอยู่ หลี่กังเป็นหนึ่งในขุนนางส่วนท้องถิ่นของจักรวรรดิ มีความมั่นใจในฐานะที่เป็นขุนนางส่วนท้องถิ่น ประโยคนี้พูดได้ทรงอำนาจนัก

เจิ้งฉุนเจี้ยนพยักหน้า จดจำเอาไว้แล้วพูดอีกว่า “นายตรวจลู่หลีจื่อแห่งสำนักตรวจการ วันนี้ก็มาถึงเมืองฉางอันแล้วเช่นกัน เขาส่งหนังสือมายังที่ว่าการแล้ว หวังจะให้พวกเราจับคุณชายรองส่งไปยังสำนักตรวจการสาขาย่อยเมืองฉางอัน พวกเขาจะเป็นคนสอบสวนและลงโทษเอง”

หลี่กังยิ้มเย็นชา “เรื่องพวกนี้ต้องตอบกลับไปอย่างไร ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าหรือ?”

เจิ้งฉุนเจี้ยนอึ้งไป ก่อนจะเข้าใจ “ขอรับ ข้าน้อยทราบแล้ว”

หลี่กังกล่าวอีกว่า “ในเมืองฉางอันช่วงนี้มีคลื่นใต้น้ำ สั่งให้ทหารนอกเมืองเข้ามารักษาการณ์เสีย ทุกคืนเมื่อถึงยามจื่อห้ามไม่ให้ออกนอกเมือง ไม่มีเอกสารจากทางการห้ามออก ผู้ใดกล้าก่อกวนในเมืองฉางอัน ไม่ต้องสนภูมิหลัง จับเอาไว้ให้หมด กฎระเบียบของเมืองฉางอันจะวุ่นวายไม่ได้ ใครกล้าก่อเรื่องในเมืองก็คือจงใจมีเรื่องกับข้า”

……

ในคฤหาสน์

องค์หญิงฉินเจินขมวดคิ้ว มองแผนที่เมืองฉางอันพลางจ้องตรอกซอกซอยนับไม่ถ้วนตั้งแต่หน่วยเลี้ยงรับรองบนถนนกลิ่นกำจายไปจนถึงประตูเมืองฝั่งตะวันตก ในสมองวาดโครงร่างของทางเส้นแล้วเส้นเล่า

“แผนที่แย่ที่สุดคือพวกเราเข้าร่วมงานประมูลล้มเหลว ทำได้แค่ลงมือชิงตัวคนเท่านั้น เมื่อสำเร็จแล้วก็อ้อมทหารกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันออกไป ใช้ความเร็วสูงที่สุดก็ประมาณครึ่งชั่วยาม…ครึ่งชั่วยาม อีกฝ่ายไม่มีทางให้เวลาพวกเรานานขนาดนั้นแน่”

ในคิ้วตาของนางมีแต่ความกลัดกลุ้ม

คนที่นางจะช่วยคือภรรยาม่ายและลูกสาว ไม่มีความสามารถในการเคลื่อนไหวอะไร ยิ่งจะล่าช้ากว่าเดิม

ช่วงนี้นางพยายามทดลองวิธีต่างๆ แต่กลับไม่มีวิธีที่จะช่วยคนออกมาได้ก่อน ตอนนี้ความหวังสุดท้ายจึงทำได้แค่ฝากไว้ที่วันคัดเลือกนางคณิกาอันดับหนึ่งแล้ว

“สหายของเจ้าทั้งสองไว้ใจได้หรือไม่?” องค์หญิงฉินเจินมองไปยัง ‘สุภาพบุรุษวาโย’ หวางเฉิน

ตอนนี้นางจำต้องเที่ยวขอความช่วยเหลือ สหายเก่าของหวางเฉินสองคนนี้ คราแรกนางไม่คิดจะขอความช่วยเหลือ เพราะเป็นคนที่ละมือปลีกวิเวกไปแล้ว หากก้าวเข้ามาในยุทธจักรอีกจะเป็นเรื่องที่อันตรายมาก หากอยากปลีกวิเวกอีกครั้ง นั่นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อก้าวเข้าสู่ยุทธจักรก็ไม่อาจทำอะไรได้ดั่งใจอีก

“พึ่งพาได้แน่นอน” หวางเฉินกล่าว “ข้าได้นัดกับพวกเขาเอาไว้ดีแล้ว จะรับตัวที่นอกเมือง ไม่มีทางพลาดแน่”

องค์หญิงฉินเจินพยักหน้าพลางคิดวางแผนในหัว

นางเชิญสหายคนหนึ่งในเมืองฉางอันเอาไว้ เมื่อถึงเวลาก็สามารถช่วยเหลือได้

เพียงแต่…แผนวางเอาไว้ง่าย แต่เมื่อลงมือทำจะมีปัจจัยเปลี่ยนแปลงต่างๆ สมัยก่อนเมื่อนางลงมือก็มักจะพิจารณาเหตุการณ์ต่างๆ และวางแผนรับมือ ทว่าภรรยาดีหากไม่มีข้าวก็ไม่อาจปรุงอาหารได้ ครั้งนี้กำลังคนมีจำกัด ทำได้แค่สนใจหนทางข้างหน้า จะเตรียมการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันล่วงหน้าได้เสียที่ไหนกัน

“องค์หญิง โปรดอภัยที่ข้าพูดตรงๆ ไยจึงไม่ขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าหลี่มู่เล่า?” นับตั้งแต่แรก สุภาพบุรุษวาโยก็สนับสนุนหลี่มู่อย่างออกนอกหน้า เลื่อมใสในตัวหลี่มู่ยิ่งนัก คิดมาตลอดว่าสร้างความสัมพันธ์หรือดึงหลี่มู่มาเป็นพวก ขอความช่วยเหลือจากเขาเป็นทางเลือกที่ดีมาก

องค์หญิงฉินเจินขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ปฏิเสธในทันที

ในใจนางลังเลนัก

จุดที่นางลังเลคือนางดูแคลนหลี่มู่มาโดยตลอด เขาหลอกลวงรีดไถคน เที่ยวหอนางโลม แต่นางก็ต้องยอมรับว่า พลังของหลี่มู่เกินกว่าการประเมินของตนไปมากโข เขาก็เป็นคนที่นางมองไม่ออกเช่นกัน รวมกับเรื่อง ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ กลอนทั้งสามบทของหลี่มู่ และเรื่องที่เขาสังหารอ๋องน้อยฉินหลินอย่างผิดทำนองคลองธรรมในสุสานทหาร…หลี่มู่ผู้นี้ ตกลงแล้วเป็นคนอย่างไรกันแน่?

ตอนนี้นางมองไม่ค่อยออกแล้ว

นับแต่ครั้งที่แล้วที่กลอนยามราตรีในหอนางโลมเผยแพร่ออกมา นางก็ไม่ให้ผู้ใต้บัญชาพูดถึงเรื่องใดๆ เกี่ยวกับหลี่มู่อีก แต่ปัญหาคือเรื่องที่หลี่มู่ก่อเอาไว้แต่ละเรื่องนั้นใหญ่มาก ต่อให้ฉินเจินไม่อยากฟังก็ยังคงลอยเข้ามาในหูอยู่ดี ยกตัวอย่างเช่นการสังหารฉินหลินเรื่องนี้ ถึงแม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์เหมือนกัน แต่นางไม่ปกปิดความรังเกียจที่มีต่อฉินหลินแม้แต่น้อย ดังนั้นฉินเจินไม่เพียงแต่จะไม่เสียใจกับการตายของฉินหลิน กลับยังตบมืออย่างยินดีด้วยซ้ำ

เรื่องนี้นางยืนข้างหลี่มู่สุดใจ

แต่ว่า หาเรื่องยุ่งยากใหญ่โตขนาดนี้ เส้นทางแห่งความอัศจรรย์ของหลี่มู่ เกรงว่าใกล้จะจบลงแล้ว

“องค์หญิง ข้ารู้สึกว่าท่านค่อนข้างมีอคติกับใต้เท้าหลี่มาตลอด เขาไม่ใช่คนอย่างนั้นแน่นอน ครั้งนี้หากใต้เท้าหลี่ลงมือช่วยเหลือละก็ อัตราความสำเร็จเรื่องช่วยคนจะเพิ่มขึ้นอีกสามส่วนขึ้นไป” หวางเฉินเอ่ย “ช่วยคนเป็นสิ่งสำคัญนะพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินเจินใจเอนเอียงแล้วเล็กน้อย

“เจ้ากับหลี่มู่รู้จักกันหรือไม่?” นางถาม

หวางเฉินตอบ “แค่เคยพบหน้ากันหลายหนเท่านั้น ไม่ได้สนิทสนมกัน แต่หลี่มู่คนนี้มีคุณธรรม มีความเห็นอกเห็นใจ สงสารผู้อ่อนแอ ด้วยลิ้นสาลิกาของข้า บางทีอาจจะเชิญให้เขาลงมือได้”

ฉินเจินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ได้ เช่นนั้นเจ้าไปจัดการเถอะ”

“น้อมรับบัญชา” หวางเฉินลิงโลด

ในที่สุดองค์หญิงก็ยอมวางอคติในใจลงแล้วหรือ?

นี่เป็นนิมิตหมายที่ดีจริงๆ

ขอแค่ร่วมมือกันสำเร็จ ความขัดข้องใจและความเข้าใจผิดซึ่งกันและกันก็จะสลายไป วันหลังค่อยคิดหาวิธีดึงหลี่มู่มาอยู่ฝั่งองค์หญิง เช่นนั้นก็จะสะดวกขึ้นอีกมาก

หวางเฉินหันกายจากไปจัดการเรื่องอย่างดีอกดีใจ

……

ในคฤหาสน์อีกหลังหนึ่งซึ่งห่างจากคฤหาสน์ที่พวกฉินเจินอยู่ไม่ไกลนัก

เหล่าชายชาตรีแห่งที่ราบทุ่งหญ้าที่อัดอั้นมาหลายสิบวัน อารมณ์เริ่มค่อนข้างฉุนเฉียวกันแล้ว

“เพราะหลี่มู่ก่อเรื่อง ตอนนี้ในเมืองฉางอันมีจำนวนยอดฝีมือชาวฉินเพิ่มขึ้น สถานการณ์ยิ่งไม่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเรา”

“เซียนกวีคนฉินตัวน้อยผู้นี้ช่างเป็นตัวก่อเรื่องจริงๆ”

“จะทำอย่างไรดี?”

“ลงมือตอนนี้เลย ชิงตัวธิดาเทพมาเสีย”

“ใช่ ใครขวางพวกเราก็ฟันมันให้ตาย”

สำหรับคนเถื่อนจากที่ราบทุ่งหญ้าที่มีกล้ามเนื้อมากกว่ามันสมอง เริ่มวู่วามอีกแล้ว

กุนซือหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ต้องรีบร้อนไป เงินจัดเตรียมเอาไว้แล้ว หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้กำลัง…” เขานวดขมับของตน ประเด็นคือถึงใช้กำลังก็ไม่มีโอกาสชนะได้เลย

ช่วยคน ช่วยคน

ช่างยากยิ่งนัก

“หากสุดท้ายแล้วต้องลงมือ ทุกท่านก็เตรียมตัวสู้เถิด หลี่มู่เป็นปัจจัยการเปลี่ยนแปลง เขาล่วงเกินยอดฝีมือคนฉินมากมายขนาดนั้น จนพวกเขารวมตัวกันมาที่เมืองฉางอัน สำหรับพวกเราแล้วก็เป็นเรื่องที่ดี มังกรและงูปะปน จับปลาน้ำขุ่น” กุนซือหนุ่มแย้มยิ้มพลางเอ่ย

รอยยิ้มของเขามักจะมีพลังอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเชื่อมั่นและสงบลง

และพวกเขาคนเถื่อนจากทุ่งหญ้าทั้งหลายที่ถูกมองว่าเป็นคนป่าเถื่อนดุร้าย เดิมทีฉุนเฉียวโหวกเหวกโวยวาย แต่เมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนี้ก็สงบลงทันที แต่ละคนพยักหน้าเหมือนเด็กประถม “ฟังคำกุนซือแล้วกัน”

ชายชาวที่ราบทุ่งหญ้ารูปร่างดุจเจดีย์เหล็กที่เป็นหัวหน้าก็พยักหน้าเช่นกัน

คนที่ราบทุ่งหญ้าเชื่อใจคนฉิน ภาพเช่นนี้หายากยิ่งนัก

“ข้าจะหาวิธีแจ้งพวกธิดาเทพไว้ก่อน ถึงตอนนั้นจะได้เข้าใจแผนซึ่งกันและกัน” กุนซือหนุ่มกล่าว

……

ในเมืองฉางอัน ที่ลับแห่งหนึ่ง

ชายหนุ่มรูปงามดุจมารคนหนึ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มเย็นเยือก “หึๆ ปฏิเสธงั้นรึ?”

ด้านล่างเป็นจอมยุทธ์วัยกลางคนคลุมชุดคลุมสีเทา เขาพูดขึ้นว่า “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหาหลี่มู่เจอที่หอสดับเซียน และได้ยื่นเทียบเชิญของฝ่าบาท แสดงถึงไมตรีของพระองค์ไปแล้ว แต่ว่าเขาปฏิเสธที่จะรับใช้”

“ช่างจองหองนัก จะต้องมอบบทเรียนให้มัน”

“หึ มันคิดว่ามันเป็นใคร ฝ่าบาทส่งเทียบเชิญให้ นั่นคือไว้หน้ามันแล้ว แต่กลับไม่เห็นถึงความหวังดี”

“สังหารมันเสียเถอะ”

คนที่ท่าทางเหมือนกุนซือไม่ก็ขุนนางฝ่ายบุ๋นบางคนในห้องโมโหเสียงดังอย่างอดไม่ได้

บนที่นั่งประธาน ชายหนุ่มรูปงามดุจมารหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “อัจฉริยะมักจะมีความหยิ่งทะนงของอัจฉริยะ ข้าให้อภัยเขาได้ครั้งหนึ่ง ส่งเทียบเชิญของข้าไปอีกที น้ำเสียงท่าทางแสดงให้อ่อนลงหน่อย หากเขายินดีรับใช้ข้าก็เสนอเงื่อนไขมาได้ตามสบาย”

“น้อมรับคำสั่ง”

ยอดฝีมือวัยกลางคนหมุนตัวจากไป

คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ต่างมองหน้ากัน

หากเชิญปีศาจอย่างหลี่มู่มาได้จริงๆ เช่นนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว หลี่มู่จะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อยากเห็นเป็นที่สุด

……

ถนนกลิ่นกำจาย

คฤหาสน์ขุนนางหน่วยเลี้ยงรับรอง

ที่นี่คือสถานที่ทำการซึ่งคอยดูแลควบคุมหอคณิกาเล็กใหญ่ทั้งหลายบนถนนกลิ่นกำจาย และเป็นสถานที่สำคัญสำหรับกักขังสตรีจากตระกูลขุนนางที่ยังไม่ได้อบรมขัดเกลา

“ท่านแม่ ท่านพี่ ข้าหิวจังเลย ข้าหนาว” เด็กหญิงหน้าตาสะสวย ดูแล้วอายุราวๆ สี่ขวบเท่านั้น กำลังขดตัวอย่างเรียบร้อยในอ้อมแขนของหญิงงามวัยกลางคนผู้หนึ่ง แต่เมื่อลมหนาวพัดมานางก็ตัวสั่น ในที่สุดก็อดทนไม่ไหว เอ่ยออกมาเสียงเบา

……………………………………………………

[1]กวน หมวกหรือเครื่องครอบมวยผมของผู้ชายในสมัยโบราณ มักจะประดับของมีค่าเช่นหยกหรืออัญมณีล้ำค่าอื่นๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา