ไป๋เซวียนได้ยินก็ส่ายหน้าตอบกลับไปว่า “ยังไม่มีใครส่งข่าวที่เชื่อถือได้มาเลยเจ้าค่ะ”
หลี่มู่ถอนหายใจอย่างผิดหวัง
ขอทานเฒ่าบ้านั่น ไร้คุณธรรมขนาดนี้เชียวรึ เอาเลือดเจียวไป แล้วยังลักพาตัวโลลิน้อยหมิงเยวี่ยไปด้วย
ช่างไร้ยางอายจริงๆ เลย
รอให้หาตาแก่นี่กับสุนัขสีน้ำตาลตัวนั้นเจอก่อนเถอะ จะตีขาพวกเขาให้หักแน่นอน
ไป๋เซวียนอยู่ในห้องไม่นานก็ถอยออกมาอย่างรู้กาลเทศะ
หลังจากนางคิดตกแล้ว ในใจกลับโล่งมาก
ไม่ว่าจะเป็นหลี่มู่หรือฮวาเสี่ยงหรง ตอนนี้ล้วนนับได้ว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองฉางอัน ดึงดูดสายตาจากทุกฝั่ง โดยเฉพาะคนแรก เลิศล้ำทั้งบุ๋นและบู๊ อายุน้อยมากความสามารถ เป็นอัจฉริยะชั้นยอดที่หายากยิ่ง ดึงดูดสายตาผู้คนไม่รู้ต่อเท่าไหร่ ถึงแม้จะเสี่ยงอันตราย แต่ทุกครั้งที่เขาอยู่หอสดับเซียนมากขึ้นหนึ่งวัน ก็จะนำชื่อเสียงมากมายมาให้กับหอสดับเซียน
ข้างในห้อง หลี่มู่ชี้แนะฮวาเสี่ยงหรงฝึกฝนวิชาเต๋าต่อ
หลังจากนั้น ฮวาเสี่ยงหรงใช้กายเต๋าฟ้าประทานแห่งแสงร้องเพลงร่ายรำอยู่ในห้อง กฎเต๋าในฟ้าดินแผ่ระลอก หลี่มู่ฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้แล้วประหยัดเวลาฝึกไปได้กว่าครึ่ง
นี่นับว่าเป็นหนึ่งในท่วงทำนองที่ต้องมีในการ ‘ฝึกคู่’ ทุกวันของทั้งสองคนแล้ว
หลายวันมานี้ หลี่มู่รู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณของตนค่อยๆ เต็มอิ่ม ใกล้จะทะลวงจุดติดขัดเล็กๆ และข้ามผ่าน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นหนึ่งระดับสูงได้แล้ว
เขาคาดหวังกับจุดนี้มาก
หลังจาก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นที่หนึ่งสมบูรณ์แล้ว เมื่อเนตรสวรรค์เปิดอย่างเต็มที่จะมีพลังอย่างไร?
……
“อะไรนะ? ปฏิเสธอีกแล้ว?”
องค์ชายสองผู้งามสง่าได้ยินรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ส่วนในห้อง บริวารและกุนซือทั้งหลายข้างกายเขาเอะอะมะเทิ่งกันทันที
“กำเริบเสิบสานนัก ยกโทษให้ไม่ได้”
“ไม่รักดี สมควรตาย”
“องค์ชาย มันกำเริบโอหังเช่นนี้จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นวันข้างหน้าจะมีคนเลียนแบบมัน ความเกรงขามของพระองค์จะอยู่ที่ใด?”
“กระหม่อมขอให้องค์ชายส่งยอดฝีมือไปสังหารคนกำเริบเสิบสานผู้นี้เสียเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนล้วนมีสีหน้าโกรธแค้นไม่พอใจ ต่างเสนอความเห็น
ทว่า ใบหน้าขององค์ชายสองจู่ๆ กลับฉายรอยยิ้มประหลาด ก่อนจะเอ่ยถาม “เกาอี เจ้าประมือกับหลี่มู่แล้วใช่หรือไม่? พลังของเขาเป็นอย่างไร?”
จอมยุทธ์วัยกลางคนเล่าลำดับเหตุการณ์โดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย “กระหม่อมสู้เขาไม่ได้ หากสังหารซึ่งหน้า กระหม่อมมีโอกาสมากสุดแค่สามกระบวนท่า เลยสามกระบวนท่าไปแล้วต้องตายแน่นอน” ต่อให้เสียเปรียบในเงื้อมมือหลี่มู่ แต่เขาก็ยังพูดความจริงตามที่เข้าใจ เขาไม่อยากให้เรื่องนี้รบกวนการตัดสินใจขององค์ชายสอง แต่เขากลับไม่รู้ว่าการวิเคราะห์แบบนี้ก็แค่คิดเองเออเองเท่านั้น
“อ้อ เป็นแบบนี้นี่เอง” องค์ชายสองยิ้มราบเรียบ ก่อนพูด “เจ้าส่งเทียบเชิญของข้าไปอีก ครั้งนี้เกรงใจอีกนิด คนที่มีความสามารถชอบวางท่า นี่ก็เป็นเรื่องปกติแล้วนี่”
เมื่อได้ยิน ทั้งห้องเงียบสงัด
คนที่เมื่อครู่ต่างพากันประณามหลี่มู่อย่างโกรธแค้น ไม่กล้าบริภาษหลี่มู่อีกแม้แต่ประโยคเดียว
ครั้งนี้องค์ชายสองให้ความสำคัญกับนักปราชญ์ราชบัณฑิตเหลือเกิน
ชายวัยกลางคนตกใจเล็กน้อย รู้สึกถึงความกดดันทันที เขาพยักหน้าตอบ “กระหม่อมเข้าใจแล้ว”
องค์ชายสองจะเอาจริงแล้ว
……
“สังหารหยวนอู่อีกแล้ว?”
ในห้องหนังสือ มือที่กำลังเขียนพู่กันของหลี่กังชะงักเล็กน้อย
เจิ้งฉุนเจี้ยนพยักหน้า กล่าวว่า “ข่าวที่สายส่งมาเป็นเช่นนี้จริงๆ อีกทั้งไม่ใช่แค่สังหารหยวนอู่ ได้ยินว่าแม้แต่นายตรวจลู่หลีจื่อก็ได้รับบาดเจ็บขอรับ” เจิ้งฉุนเจี้ยนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโถงใหญ่สำนักตรวจการให้ฟังรอบหนึ่ง
ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ หลี่กังปกครองดูแลเมืองฉางอันได้ละเอียดปานใด วางเส้นสายเอาไว้ในสำนักตรวจการตั้งนานแล้ว ความเคลื่อนไหวทั้งหมดไม่อาจเล็ดลอดหูตาของเขาได้เลย
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นงูเจ้าถิ่น
อีกทั้งยังเป็นงูเจ้าถิ่นที่น่ากลัวมากด้วย
หลี่กังฟังจบก็วางพู่กันไว้บนชั้นวางพู่กัน รับผ้าร้อนจากสาวใช้มาเช็ดมือ “ลู่หลีจื่อ เมื่อสิบกว่าปีก่อนก็เข้าสู่ขั้นฟ้าประทานแล้ว ว่ากันว่าเขาแปลงกำลังภายในสี่ส่วนเป็นปราณแท้ฟ้าประทานได้ แล้วยังฝึก ‘เพลงดาบมารคลั่งตาข่ายสวรรค์’ สำเร็จ อยู่ในอันดับที่สามสิบจากบรรดานายตรวจทั้งสามสิบหกของสำนักตรวจการสาขาหลัก?”
เจิ้งฉุนเจี้ยนตอบ “ปราณแท้สี่ส่วนเป็นคำพูดของเขา เกินครึ่งมีส่วนที่เกินจริง แต่ว่าตามนิสัยของเขาน่าจะพูดเกินมา คงประมาณสามส่วนนิดๆ”
“นั่นก็ไม่น้อยแล้ว หึๆ เจ้าลูกคนนี้ช่างทำให้คนตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่าจริงๆ” หลี่กังรับโจ๊กโสมรังนกที่สาวใช้ยกมาให้ ดื่มลงไปรวดเดียว “ฉุนเจี้ยน เจ้าว่าก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่ลงมือ เขาออมมือหรือว่าพลังของเขาเพิ่มอยู่ตลอด? ศึกที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์วันนั้น ถึงแม้เขาจะสังหารธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ในกระบวนท่าเดียว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีพลังโจมตีลู่หลีจื่อให้บาดเจ็บได้”
เจิ้งฉุนเจี้ยนส่ายหน้า “ข้าน้อยมองไม่ออก หากบอกว่าออมมือ ประเมินจากเรื่องในอดีตแล้วไม่เหมือนเช่นนั้น หากบอกว่าได้มาจากการพัฒนาช่วงนี้ก็เป็นไปไม่ค่อยได้ บนโลกนี้ไม่มีใครพลังฝึกเพิ่มขึ้นได้ถึงระดับนี้ ต่อให้เป็นเจ้าสำนักของเก้าสำนักเทพหรือบุคคลต้องห้ามผู้นั้นในอดีตก็เกรงว่าจะไม่บ้าระห่ำเช่นนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา