จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 210

ไป๋เซวียนได้ยินก็ส่ายหน้าตอบกลับไปว่า “ยังไม่มีใครส่งข่าวที่เชื่อถือได้มาเลยเจ้าค่ะ”

หลี่มู่ถอนหายใจอย่างผิดหวัง

ขอทานเฒ่าบ้านั่น ไร้คุณธรรมขนาดนี้เชียวรึ เอาเลือดเจียวไป แล้วยังลักพาตัวโลลิน้อยหมิงเยวี่ยไปด้วย

ช่างไร้ยางอายจริงๆ เลย

รอให้หาตาแก่นี่กับสุนัขสีน้ำตาลตัวนั้นเจอก่อนเถอะ จะตีขาพวกเขาให้หักแน่นอน

ไป๋เซวียนอยู่ในห้องไม่นานก็ถอยออกมาอย่างรู้กาลเทศะ

หลังจากนางคิดตกแล้ว ในใจกลับโล่งมาก

ไม่ว่าจะเป็นหลี่มู่หรือฮวาเสี่ยงหรง ตอนนี้ล้วนนับได้ว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองฉางอัน ดึงดูดสายตาจากทุกฝั่ง โดยเฉพาะคนแรก เลิศล้ำทั้งบุ๋นและบู๊ อายุน้อยมากความสามารถ เป็นอัจฉริยะชั้นยอดที่หายากยิ่ง ดึงดูดสายตาผู้คนไม่รู้ต่อเท่าไหร่ ถึงแม้จะเสี่ยงอันตราย แต่ทุกครั้งที่เขาอยู่หอสดับเซียนมากขึ้นหนึ่งวัน ก็จะนำชื่อเสียงมากมายมาให้กับหอสดับเซียน

ข้างในห้อง หลี่มู่ชี้แนะฮวาเสี่ยงหรงฝึกฝนวิชาเต๋าต่อ

หลังจากนั้น ฮวาเสี่ยงหรงใช้กายเต๋าฟ้าประทานแห่งแสงร้องเพลงร่ายรำอยู่ในห้อง กฎเต๋าในฟ้าดินแผ่ระลอก หลี่มู่ฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้แล้วประหยัดเวลาฝึกไปได้กว่าครึ่ง

นี่นับว่าเป็นหนึ่งในท่วงทำนองที่ต้องมีในการ ‘ฝึกคู่’ ทุกวันของทั้งสองคนแล้ว

หลายวันมานี้ หลี่มู่รู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณของตนค่อยๆ เต็มอิ่ม ใกล้จะทะลวงจุดติดขัดเล็กๆ และข้ามผ่าน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นหนึ่งระดับสูงได้แล้ว

เขาคาดหวังกับจุดนี้มาก

หลังจาก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นที่หนึ่งสมบูรณ์แล้ว เมื่อเนตรสวรรค์เปิดอย่างเต็มที่จะมีพลังอย่างไร?

……

“อะไรนะ? ปฏิเสธอีกแล้ว?”

องค์ชายสองผู้งามสง่าได้ยินรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ส่วนในห้อง บริวารและกุนซือทั้งหลายข้างกายเขาเอะอะมะเทิ่งกันทันที

“กำเริบเสิบสานนัก ยกโทษให้ไม่ได้”

“ไม่รักดี สมควรตาย”

“องค์ชาย มันกำเริบโอหังเช่นนี้จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นวันข้างหน้าจะมีคนเลียนแบบมัน ความเกรงขามของพระองค์จะอยู่ที่ใด?”

“กระหม่อมขอให้องค์ชายส่งยอดฝีมือไปสังหารคนกำเริบเสิบสานผู้นี้เสียเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ทุกคนล้วนมีสีหน้าโกรธแค้นไม่พอใจ ต่างเสนอความเห็น

ทว่า ใบหน้าขององค์ชายสองจู่ๆ กลับฉายรอยยิ้มประหลาด ก่อนจะเอ่ยถาม “เกาอี เจ้าประมือกับหลี่มู่แล้วใช่หรือไม่? พลังของเขาเป็นอย่างไร?”

จอมยุทธ์วัยกลางคนเล่าลำดับเหตุการณ์โดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย “กระหม่อมสู้เขาไม่ได้ หากสังหารซึ่งหน้า กระหม่อมมีโอกาสมากสุดแค่สามกระบวนท่า เลยสามกระบวนท่าไปแล้วต้องตายแน่นอน” ต่อให้เสียเปรียบในเงื้อมมือหลี่มู่ แต่เขาก็ยังพูดความจริงตามที่เข้าใจ เขาไม่อยากให้เรื่องนี้รบกวนการตัดสินใจขององค์ชายสอง แต่เขากลับไม่รู้ว่าการวิเคราะห์แบบนี้ก็แค่คิดเองเออเองเท่านั้น

“อ้อ เป็นแบบนี้นี่เอง” องค์ชายสองยิ้มราบเรียบ ก่อนพูด “เจ้าส่งเทียบเชิญของข้าไปอีก ครั้งนี้เกรงใจอีกนิด คนที่มีความสามารถชอบวางท่า นี่ก็เป็นเรื่องปกติแล้วนี่”

เมื่อได้ยิน ทั้งห้องเงียบสงัด

คนที่เมื่อครู่ต่างพากันประณามหลี่มู่อย่างโกรธแค้น ไม่กล้าบริภาษหลี่มู่อีกแม้แต่ประโยคเดียว

ครั้งนี้องค์ชายสองให้ความสำคัญกับนักปราชญ์ราชบัณฑิตเหลือเกิน

ชายวัยกลางคนตกใจเล็กน้อย รู้สึกถึงความกดดันทันที เขาพยักหน้าตอบ “กระหม่อมเข้าใจแล้ว”

องค์ชายสองจะเอาจริงแล้ว

……

“สังหารหยวนอู่อีกแล้ว?”

ในห้องหนังสือ มือที่กำลังเขียนพู่กันของหลี่กังชะงักเล็กน้อย

เจิ้งฉุนเจี้ยนพยักหน้า กล่าวว่า “ข่าวที่สายส่งมาเป็นเช่นนี้จริงๆ อีกทั้งไม่ใช่แค่สังหารหยวนอู่ ได้ยินว่าแม้แต่นายตรวจลู่หลีจื่อก็ได้รับบาดเจ็บขอรับ” เจิ้งฉุนเจี้ยนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโถงใหญ่สำนักตรวจการให้ฟังรอบหนึ่ง

ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ หลี่กังปกครองดูแลเมืองฉางอันได้ละเอียดปานใด วางเส้นสายเอาไว้ในสำนักตรวจการตั้งนานแล้ว ความเคลื่อนไหวทั้งหมดไม่อาจเล็ดลอดหูตาของเขาได้เลย

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นงูเจ้าถิ่น

อีกทั้งยังเป็นงูเจ้าถิ่นที่น่ากลัวมากด้วย

หลี่กังฟังจบก็วางพู่กันไว้บนชั้นวางพู่กัน รับผ้าร้อนจากสาวใช้มาเช็ดมือ “ลู่หลีจื่อ เมื่อสิบกว่าปีก่อนก็เข้าสู่ขั้นฟ้าประทานแล้ว ว่ากันว่าเขาแปลงกำลังภายในสี่ส่วนเป็นปราณแท้ฟ้าประทานได้ แล้วยังฝึก ‘เพลงดาบมารคลั่งตาข่ายสวรรค์’ สำเร็จ อยู่ในอันดับที่สามสิบจากบรรดานายตรวจทั้งสามสิบหกของสำนักตรวจการสาขาหลัก?”

เจิ้งฉุนเจี้ยนตอบ “ปราณแท้สี่ส่วนเป็นคำพูดของเขา เกินครึ่งมีส่วนที่เกินจริง แต่ว่าตามนิสัยของเขาน่าจะพูดเกินมา คงประมาณสามส่วนนิดๆ”

“นั่นก็ไม่น้อยแล้ว หึๆ เจ้าลูกคนนี้ช่างทำให้คนตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่าจริงๆ” หลี่กังรับโจ๊กโสมรังนกที่สาวใช้ยกมาให้ ดื่มลงไปรวดเดียว “ฉุนเจี้ยน เจ้าว่าก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่ลงมือ เขาออมมือหรือว่าพลังของเขาเพิ่มอยู่ตลอด? ศึกที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์วันนั้น ถึงแม้เขาจะสังหารธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ในกระบวนท่าเดียว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีพลังโจมตีลู่หลีจื่อให้บาดเจ็บได้”

เจิ้งฉุนเจี้ยนส่ายหน้า “ข้าน้อยมองไม่ออก หากบอกว่าออมมือ ประเมินจากเรื่องในอดีตแล้วไม่เหมือนเช่นนั้น หากบอกว่าได้มาจากการพัฒนาช่วงนี้ก็เป็นไปไม่ค่อยได้ บนโลกนี้ไม่มีใครพลังฝึกเพิ่มขึ้นได้ถึงระดับนี้ ต่อให้เป็นเจ้าสำนักของเก้าสำนักเทพหรือบุคคลต้องห้ามผู้นั้นในอดีตก็เกรงว่าจะไม่บ้าระห่ำเช่นนี้”

“นั่นก็ใช่” หลี่กังวางการคาดเดาในใจลง

“ใต้เท้า งานประกวดนางคณิกาอันดับหนึ่งในวันมะรืน ท่านจะไปร่วมหรือไม่?” เจิ้งฉุนเจี้ยนถาม

หลี่กังส่ายหน้าพลางตอบ “สถานที่แบบนั้น ข้าไม่เหมาะที่จะอยู่” ตอนนี้เขาคือผู้ทรงอำนาจของทั้งเมืองฉางอัน ไม่จำเป็นต้องไปแสดงบารมี คณิกาอันดับหนึ่งที่ว่าเหล่านั้น หากเขาต้องการจริงๆ ก็สามารถให้พวกนางเข้าแถวรอเขาไปโปรดปรานได้เลย

เจิ้งฉุนเจี้ยนลังเลเล็กน้อย “เรื่องนั้นที่องค์ชายสองจะทำ?”

หลี่กังกลับมานั่งที่โต๊ะแล้วก็มองไปยังตะเกียงที่วาบไหวไม่อยู่นิ่ง พลางเอ่ย “ให้ความร่วมมือ…ให้ความร่วมมืออย่างมีขีดจำกัด เรื่องที่ถูกกฎหมายของจักรวรรดิพวกเราทำ เรื่องที่ไม่ถูกกฎหมายให้พวกเขาทำเอง”

“เข้าใจแล้วขอรับ” เจิ้งฉุนเจี้ยนพยักหน้า

……

เวลาผ่านไป

เพียงชั่วพริบก็ถึงวันที่สาม

วันประกวดนางคณิกาอันดับหนึ่งมาถึงแล้ว

งานประกวดคัดเลือกที่แท้จริงจะเริ่มเมื่ออาทิตย์อัสดง

ตอนกลางวันหน่วยเลี้ยงรับรองจัดขบวนรถบุปผชาติอีกครั้ง ขังทาสสาวจากที่ราบทุ่งหญ้าและนักโทษหญิงตระกูลขุนนางที่หน้าตางดงามพวกนั้นไว้ในกรงเหล็ก แล้วจัดแสดงไปทั่วเมืองรอบหนึ่ง ในนั้นแน่นอนว่ามีภรรยาม่ายและลูกสาวทั้งสองของขุนพลถังด้วย

ถังมี่ลูกสาวคนเล็กยังคงสะลึมสะลือ อาการป่วยยังไม่หาย ไม่รู้เลยว่าต่อไปมีชะตากรรมชีวิตที่ทุกข์ทรมานน่าเวทนาอย่างไรรออยู่

หน่วยเลี้ยงรับรองทำแบบนี้ก็เพื่ออุ่นเครื่อง ทำให้บรรยากาศมีสีสันขึ้นมา

เมื่อถึงยามบ่ายอาทิตย์ลับขอบฟ้า ถนนกลิ่นกำจายของหน่วยเลี้ยงรับรองก็เต็มไปด้วยผู้คนมหาศาลทันที คึกคักอย่างไม่เคยมีมาก่อน สนุกคึกครื้นแน่นขนัดนัก ราวกับงานเทศกาลก็ไม่ปาน

เหมือนกับงานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่บางอย่างบนโลก การประกวดที่หน่วยเลี้ยงรับรองใช้ความคิดจัดขึ้นมานั้นก็มีพิธีเปิด ลำดับพิธีการทั้งหมดล้วนแสดงต่อหน้าทุกคน นางคณิกาที่เข้าร่วมการประกวดแต่ตกรอบสามสิบอันดับแรกต่างขึ้นไปแสดงความสามารถ โอดโฉมประชันบนเวทีใหญ่ด้านนอก เรียกเสียงโห่ร้องให้กำลังใจเป็นระลอกๆ จากคลื่นมหาชนบนถนนกลิ่นกำจาย บรรยากาศคึกคักยิ่ง

นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เหล่าคณิกาผู้ตกรอบจะได้โอกาศแสดงตัวและสร้างชื่อเสียง ดังนั้นจึงล้วนทุ่มสุดตัว

และหลังจากพิธีเปิด การประกวดนางคณิกาอันดับหนึ่งก็เริ่มขึ้นอย่างแท้จริง

นางคณิกาชื่อดังของหอคณิกาต่างๆ ในเมืองฉางอันและนางคณิกาจากมณฑลอื่นนอกเมืองฉางอันล้วนขึ้นไปแสดงความสามารถช่วงชิงตำแหน่งบนเวทีตามลำดับ

เวลาผ่านเลยไป ตอนนี้อาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว

ราตรีมาเยือนอย่างช้าๆ

กลางท้องฟ้า ดวงจันทร์สองดวงส่องแสงกระจ่าง

ยามเด็กไม่รู้จักจันทร์ มองว่านั่นคือจานหยกขาว

แม้แต่ท้องฟ้ายังร่วมมือกับเหล่านางคณิกา ไม่มีเมฆดำเลยแม้แต่น้อย แสงจันทร์งดงามเป็นอย่างยิ่ง ประดุจผ้าโปร่งบางคลุมผืนดิน ย้อมสถาปัตยกรรมทั่วทั้งเมืองฉางอันด้วยน้ำค้างสีขาวชั้นหนึ่ง

ก่อนการประกวดจะเริ่มอย่างเป็นทางการ หลี่มู่มาปรากฏตัวที่ห้องส่วนตัวสำหรับแขกผู้เกียรติบนชั้นสองของ ‘หอเซียนโบยบิน’ ที่อยู่ตรงข้ามเวทีห่างไปประมาณเจ็ดจั้ง

แน่นอนว่าเขามาเพื่อช่วยให้กำลังใจฮวาเสี่ยงหรง

ห้องส่วนตัวนี้เป็นห้องที่ท่านแม่ไป๋เซวียนแห่งหอสดับเซียนจองไว้ให้หลี่มู่โดยเฉพาะ ทัศนวิสัยดีมาก องศาก็พอดีนัก มองเห็นการแสดงบนเวทีทั้งหมดได้ชัดเจน ไม่ถูกคลื่นมหาชนบดบังสายตา อีกทั้งเมื่อถึงเวลาฮวาเสี่ยงหรงขึ้นเวทีแสดง ก็จะมองเห็นหลี่มู่มาให้กำลังนางอีกด้วย

เพื่อให้ฮวาเสี่ยงหรงชิงตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่งมาได้ ไป๋เซวียนก็นับว่าใช้ความคิดไปไม่น้อย

หลี่มู่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัว ข้างกายมีเจิ้งฉุนเจี้ยนนั่งเป็นเพื่อน

เสือดาวเบญจมาศขดตัวกลม หลับตานอนกรนอยู่ตรงมุมกำแพง

ในใจหลี่มู่ที่จริงแล้วตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย

งานประกวดคัดเลือกนางคณิกาอันดับหนึ่งเป็นกิจกรรมที่มีแรงดึงดูดสำหรับผู้ชายไม่ว่าคนใดก็ตาม ได้ชมการแสดงของหญิงสาวที่พร้อมด้วยความสามารถและรูปโฉมในรัศมีหลายร้อยลี้ของโลกใบนี้ ย่อมเป็นอาหารตาชั้นเลิศแน่นอน อีกทั้งคืนนี้หลี่มู่เข้าร่วมด้วย เขาสนับสนุนฮวาเสี่ยงหรง แน่นอนว่าสนับสนุนเพียงแค่ลมปากไม่ได้

นี่ทำให้ในใจของเขามีความสุขที่มีส่วนร่วมด้วย

เป็นความรู้สึกสุขใจที่แตกต่างจากการฝึกฝนวรยุทธ์อย่างสิ้นเชิง

การแข่งขันใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว

นางคณิกาที่เข้ารอบสามสิบอันดับแรกกำลังเตรียมตัวขั้นสุดท้าย และเลือกลำดับขึ้นเวทีแสดงจากการจับฉลาก

ก่อนหน้านี้หลี่มู่รู้กฎและขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกนางคณิกาอันดับหนึ่งจากเจิ้งฉุนเจี้ยนแล้ว

คล้ายกับรายการประกวดต่างๆ บนโลก ผลการตัดสินสุดท้ายของการคัดเลือกนางคณิกาอันดับหนึ่งจะขึ้นอยู่กับ ‘การโหวตของผู้ชม’ ‘คอมเมนต์กรรมการ’ และ ‘การประชันของผู้สนับสนุน’ สามขั้นตอนนี้

‘ผู้ชมโหวต’ ที่ว่า คือช่วงที่นางคณิกาแสดงจะได้รับตะกร้าดอกไม้จากผู้ชื่นชอบ ตะกร้าดอกไม้หนึ่งตะกร้าคิดเป็นหนึ่งร้อยตำลึงเงิน สุดท้ายจำนวนมากน้อยของตะกร้า…ก็คือจำนวนเงินที่ได้ จะเป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การให้คะแนน ในความเห็นของหลี่มู่ นี่มันการส่งข้อความโหวตของโลกชัดๆ จ่ายเงินโหวตให้ไอดอลอย่างไรล่ะ แต่ว่าตะกร้าดอกไม้หนึ่งตะกร้าตั้งหนึ่งร้อยตำลึงเงิน นี่เป็นการละเล่นของคนรวยโดยแท้

ส่วน ‘คอมเมนต์กรรมการ’ จะเชิญผู้ทรงอำนาจระดับสูงบางคนในเมือง ขุนนางผู้ร่ำรวย และเหล่าแม่เล้าผู้ดูแลที่มีชื่อทั้งหลายรวมทั้งสิ้นสามสิบคนมาให้คะแนน คิดรวมกับผลคะแนนรวมสุดท้าย

และส่วนที่สาม ‘การประชันของผู้สนับสนุน’ เหล่าคนมีชื่อเสียงที่นางคณิกาหาเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกจะมอบบทกลอนให้กับพวกนาง เพื่อใช้คุณภาพของกลอนเป็นรายการเพิ่มคะแนนสุดท้าย

“กลอนบทนี้ในท้ายที่สุดสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับการประกวดคัดเลือกคณิกาอันดับหนึ่ง กลอนอมตะ สามารถสร้างความฮือฮา ถูกขับขานไปทั่วแผ่นดิน ดังนั้นจึงเป็นสัดส่วนสำคัญที่สุดในการแข่งขัน…แน่นอน สำหรับคุณชายนี่ไม่ใช่ปัญหา คืนนี้แม่นางฮวาจะต้องเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งแน่นอน” เจิ้งฉุนเจี้ยนกล่าว

……………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา