ในหน่วยเลี้ยงรับรองบนถนนกลิ่นกำจาย ฝูงชนอลหม่านหนีหายกันไปเกือบหมดแล้ว เกิดเหตุเหยียบกันจนมีคนตาย ศพนอนระเนระนาด ยังมีบางคนถูกเหยียบจนกระดูกหัก หัวร้างข้างแตก นอนร้องครวญครางอยู่ตามมุม…
ตูม!
รัศมีสามจั้งกว่ารอบหอแขกผู้มีเกียรติหมายเลขหนึ่งมีระลอกคลื่นสีเลือดชั้นหนึ่ง
ธนูแสงจันทร์ทองที่เทพธิดาสงครามจากที่ราบทุ่งหญ้ายิงมาดอกนั้นถูกสกัดกั้นอยู่กลางอากาศ สุดท้ายถูกกระแทกสลายกลายเป็นเศษแสงจันทร์สีทองหายไปในท้องฟ้า
นายน้อยเผ่ายิงจันทร์หน้าเปลี่ยนสี “แย่แล้ว…มียอดฝีมือ”
‘ธนูเหนี่ยวตะวัน’ ในมือของธิดาเทพชิงเยียนแฝงด้วยแรงโทสะ พลังคุกคามน่าครั่นคร้ามยิ่งนัก แต่กลับถูกต้านทานเอาไว้ได้?
ในหอหมายเลขหนึ่งเกรงว่าจะมีผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวอย่างยิ่งยวดคุ้มกันอยู่
เขาตระหนักได้ทันทีว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว
ฝ่ายตรงข้ามเหมือนเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้า
“องค์หญิงชิงเยียน แผ่นดินกว้างใหญ่ เหตุใดกลัวไร้ฟืนเผา ออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน วันหน้าค่อยแก้แค้น ใช้เลือดล้างหน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอัน” กุนซือหนุ่มชาวที่ราบทุ่งหญ้าเอ่ยเสียงดัง
ธิดาเทพชิงเยียนมองทหารกล้าที่ล้อมอยู่รอบกาย องครักษ์หญิงเทพหมาป่าทั้งสี่สิบกว่าคนที่ติดตามตนล้วนปลอดภัยไร้กังวล ก็รู้ว่าที่นี่ไม่ควรอยู่นาน นางมองไปทางหอหมายเลขหนึ่งอย่างอาฆาตแวบหนึ่งก่อนกล่าว “พวกเราไป”
“บุก!”
นายน้อยเผ่ายิงจันทร์นำอยู่ข้างหน้าราวพยัคฆ์คลั่งลงเขา
ชั่วขณะที่ธนูประหลาดในมือของเขาง้างออกก็ราวปืนใหญ่ ทรงพลังไร้เทียมทาน ยอดฝีมือและกองกำลังทหารของหน่วยเลี้ยงรับรองที่สกัดกั้นอยู่ข้างหน้าถูกยิงตัวระเบิดทันที สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ต่างๆ พังทลายจากธนูที่น่ากลัวเยี่ยงปืนใหญ่เช่นกัน
กุนซือหนุ่มนำทหารกล้าแห่งที่ราบทุ่งหญ้าผู้องอาจทั้งสิบสองนาย แบ่งเป็นสองแถวซ้ายขวาข้างละหกคนอยู่ข้างหลังนายน้อยเผ่ายิงจันทร์ สามคนยิงธนู สามคนถือขวานกับโล่คอยป้องกันและโจมตีระยะประชิด ปกป้ององครักษ์หญิงเทพหมาป่าที่ค่อนข้างเหนื่อยล้าทั้งสี่สิบหกเอาไว้ตรงกลาง ส่วนธิดาเทพชิงเยียนรับผิดชอบคุมกันข้างหลัง ทั้งขบวนเหมือนกับลิ่มแหลมคมทะลวงไปด้านนอกหน่วยเลี้ยงรับรอง
สภาพแวดล้อมธรรมชาติของทุ่งหญ้าเลวร้าย มีสัตว์ร้ายมากมาย สัตว์ปีศาจเพ่นพ่าน ทั้งยังค่อนข้างแห้งแล้ง อาหารขาดแคลนหนัก ระหว่างเผ่ามักเกิดการฆ่าฟันกันบ่อยครั้ง คนฉินลือกันว่าทารกคนเถื่อนแห่งที่ราบทุ่งหญ้า หลังมุดออกมาจากครรภ์มารดาก็เดินได้ทันที เพราะหากไม่วิ่งจะถูกสัตว์ร้ายกัดตายหรือไม่ก็หิวตาย…
ชีวิตในสภาพแวดล้อมเลวร้ายเช่นนี้ทำให้ชายหญิงเผ่าหมานแห่งทุ่งหญ้าล้วนเป็นนักรบ กำลังต่อสู้ทรงพลังยิ่งนัก กล้าหาญไม่กลัวตาย เป็นนักรบมาแต่กำเนิดกันทั้งสิ้น
ตอนนี้ นายน้อยเผ่ายิงจันทร์และคนอื่นๆ เผยความห้าวหาญ ประหนึ่งพยัคฆ์แห่งที่ราบทุ่งหญ้า เพียงบุกทะลวงไป องครักษ์และยอดฝีมือของหน่วยเลี้ยงรับรองก็แตกพ่ายในชั่วพริบตา
ขณะนี้ชาวบ้านบนถนนกลิ่นกำจายหนีไปเกือบหมดแล้ว
คนที่ราบทุ่งหญ้าใกล้จะฝ่าออกไปจากปากถนนกลิ่นกำจายแล้วเต็มที
ในตอนนี้เอง…
“ยิง!”
เสียงคำรามดุจอัสนีกัมปนาทพลันดังมาจากกลางถนนที่มืดมิดด้านหน้า
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!
เสียงแหวกอากาศดังขึ้นถี่ยิบเหมือนเสียงสายฝน และยังได้ยินเสียงสายธนูสั่นติดๆ กันอยู่รางๆ
ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี ลูกธนูปกคลุมมาหนาแน่นดั่งฝูงตั๊กแตน
นักรบเผ่าหมานแห่งที่ราบทุ่งหญ้าเชี่ยวชาญวิชาขี่ม้ายิงธนูมากที่สุด เมื่อได้ยินเสียงสายธนูสั่นก็ตั้งตัวกลับมา นักรบที่ถือโล่ทั้งสองข้างคำรามแล้วพุ่งขึ้นไป ก่อนโคจรกำลังภายใน กระตุ้นตัวอักษรที่สลักอยู่บนโล่ในมือ โล่มีแสงสีเขียวหมุนวนทันที กลุ่มแสงหมุนวนที่เหมือนเถาวัลย์แต่ละเส้นสายขยายออกมาเป็นโล่แสงขนาดใหญ่กว่าเดิม พวกเขากระโดดซ้อนกันเป็นชั้นๆ กลางอากาศเหมือนกายกรรมต่อตัว รวมกันเป็นกำแพงโล่สีเขียวปกป้องทุกคนเอาไว้ข้างหลัง
ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดรวดเร็วยิ่งนัก เสร็จสิ้นลงในชั่วพริบตา
ปฏิกิริยาตอบสนองของนักรบที่ราบทุ่งหญ้าช่ำชองอย่างยิ่งยวด
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
ธนูที่ยิงมาบนกำแพงโล่สีเขียวกระเด็นออกไป
“เปิด” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ตะโกนลั่น นักรบที่ถือโล่เบื้องหน้าเปิดออกเป็นช่องขนาดสองนิ้วมืออย่างพร้อมเพรียงกัน นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ง้างคันศรทันที ยิงทีเดียวสี่ดอกผ่านรอยแยกไปทางที่ห่าธนูยิงเข้ามา
รอยแยกของโล่สีเขียวปิดลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ครืน ครืน!
เสียงร้องน่าสังเวชดังระงมมาจากมุมมืดไกลๆ ราวกับเสียงปืนใหญ่ระเบิด
กองทหารเมืองฉางอันที่ซ่อนอยู่ในเงามืดไม่ทันระวัง จึงสูญเสียสาหัสจากพลังของลูกศรทั้งสี่
นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ร่างราวเจดีย์เหล็ก พลังน่าตื่นตะลึงนัก ทุกครั้งที่ยิงธนูราวอัสนีฟาดผ่า วิชาธนูของเขาไม่ใช่แค่แม่นยำ แต่ราวกับปืนใหญ่ ใช้พลังทำลายล้างระเบิดสังหารศัตรู กองกำลังทหารทั่วไปเจอกับวิชาธนูเช่นนี้ถือเป็นฝันร้ายชัดๆ
……
อีกฝั่งหนึ่ง
ผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในมุมมืดและลอบโจมตีก็คือไช่จือเจี๋ยแห่งกองรักษาการณ์ฝั่งตะวันตกนั่นเอง
ตอนนี้เขากำลังหน้าดำคร่ำเครียด มองทหารมือธนูที่บาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่งอย่างปวดใจ
ทหารของเมืองฉางอันปกติแล้วรับผิดชอบจับโจร ขโมย ลาดตระเวน รักษากฎระเบียบ และดูแลประชาชน ดังนั้นจึงละเลยการศึก ไม่มีประสบการณ์สู้กับเผ่าหมานจากที่ราบทุ่งหญ้า ประเมินพลังของศัตรูต่ำไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งพวกที่ปะทะด้วยยังเป็นทหารชั้นยอดของเผ่ายิงจันทร์ เพียงชั่วพริบตาก็เสียเปรียบหนัก
“ใต้เท้า ทำอย่างไรดี?” คนสนิทถามอย่างร้อนรนอยู่ด้านข้าง
ตอนนี้ กระบวนพลรูปลิ่มของเผ่าหมานแห่งที่ราบทุ่งหญ้าห่างไปไม่ถึงหนึ่งลี้
ไช่จือเจี๋ยโบกมือ “ถอย”
เผ่าหมานแห่งที่ราบทุ่งหญ้าพวกนี้จะโหดเกินไปแล้ว พวกมันเป็นกลุ่มคนบ้า หากสู้ต่อไป กำลังที่มีเพียงน้อยนิดในมือเขาก็จะล่มจมหมด อย่างไรเสียใต้เท้าเจ้าเมืองก็แค่บอกว่าช่วยหน่วยเลี้ยงรับรองเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าให้ร่วมต่อสู้ด้วยเสียหน่อย เช่นนั้นปัญหาที่หน่วยเลี้ยงรับรองประมูลคนจากทุ่งหญ้าหาเรื่องใส่ตัวก็รับผิดชอบไปเองแล้วกัน
ทหารของกองรักษาการณ์เขตเมืองฝั่งตะวันตกเริ่มถอยทัพทันที
“ฮี่ๆ หนีทัพเมื่อมีภัย ไม่กลัวโดนลงโทษหรืออย่างไร?” เสียงเย็นเยือกน่าขนลุกพลันดังขึ้นข้างหลังไช่จือเจี๋ย
ไช่จือเจี๋ยสะดุ้งเฮือก เมื่อหันกลับมาก็เห็นชายชราจมูกงุ้มสวมชุดคลุมยาวสีเทา หน้าขาวอย่างกับผีดิบเดินออกมาจากมุมมืดอย่างช้าเนิบ มุมปากแสยะยิ้ม ประหนึ่งซากศพคลานออกมาจากโลง น่าขนลุกยิ่งนัก
“เจ้าเป็นใคร?” ไช่จือเจี๋ยถามอย่างเดือดดาล
“ทหารภายในของจักรวรรดิช่างเหยาะแหยะเสียจริง…ขี้ขลาดไม่กล้าสู้ สมควรตาย” ชายชราผีดิบจมูกงุ้มหัวเราะเสียงเย็นแล้วซัดมือออกไปทันที แสงสีฟ้าเย็นยะเยือกสว่างวาบขึ้นกลางฝ่ามือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา