จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 242

ท่ามกลางเสียงลั่นของกลไก คราบทองแดง รอยสนิมด่างดำเพราะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน และสองเส้นเงินทองที่พันล้อมอยู่บนผิวกระจกหลุดร่วงลงมาที่พื้น

อักษรเต๋าเป็นชั้นๆ ส่องกะพริบและหมุนวนขึ้นมา

รูปร่างภายนอกของกระจกเกิดการเปลี่ยนแปลง

สุดท้าย ภายใต้การห่อหุ้มจากอักษรเต๋า กระจกก็กลายเป็นตราประทับห้าเหลี่ยม ห้าธาตุตามธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินปรากฏเป็นสีเงิน เขียว ฟ้า แดง และเหลืองขนาดประมาณฝ่ามือผู้ใหญ่ กำลังส่องประกายแสงห้าสี คลื่นพลังรางเลือนแต่แข็งแกร่งห้ากลุ่มเกิดขึ้นไม่หยุด ข่มและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน หดย่อและขยายวูบวาบอยู่ในตราประทับห้าเหลี่ยมนี้

ใบหน้าหลี่มู่ฉายแววลิงโลด

“ฮ่าๆ การวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ผิดพลาด นี่คืออาวุธเต๋าระดับล่างเสียที่ไหนกัน อย่างน้อยๆ ก็เป็นของชั้นยอดในอาวุธเต๋าระดับกลางต่างหาก” เขาร้องขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ในใจยิ่งรู้สึกยากจะเชื่อ ไม่นึกว่าบนโลกใบนี้มีอาวุธเต๋าระดับกลางด้วย หรือว่าในที่ลับซึ่งไม่มีใครรู้จักจะมีมรดกวิชาเต๋าเคล็ดวิชาเซียน?

พลังจิตวิญญาณของหลี่มู่ผสานกับ ‘ตราห้าธาตุพลิกนภา’ อย่างช้าๆ

พลังคุกคามของอาวุธเต๋าระดับกลางไม่มีอะไรเทียบได้ อักษรเต๋าที่สลักไว้ข้างในก็มากมายและล้ำลึก อย่างน้อยๆ ก็หลายหมื่นตัว อีกทั้งอักษรเต๋าห้าธาตุสลักอยู่ในตราประทับเดียวกัน ทำให้มันไม่ต่อต้านซึ่งกันและกัน ซ้ำยังโคจรได้ดีด้วยซ้ำ…

“แม่เจ้า ไม่ใช่ว่าข้าจะดูผิดไปอีกแล้วเหรอ เจ้านี่คงไม่ใช่อาวุธเต๋าระดับสูงกระมัง?”

หลี่มู่ค่อนข้างสงสัย

อีกทั้งความเร็วในการหลอมประสานตราประทับก็ช้ากว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก

‘ท่าทางคงจะต้องใช้เวลาสักหน่อยแล้ว’

หลี่มู่กลับมายังหอผู้มีเกียรติหมายเลขสิบแปด แล้วโคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ทันที เริ่มรวบรวมสมาธิหลอมตราประทับนี้

ส่วนซ่างกวนอวี่ถิงคุ้มกันอยู่ข้างๆ

นางที่พลังจิตวิญญาณเพิ่มมหาศาลก็ฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ เหมือนกัน แน่นอนว่าย่อมสัมผัสได้ จากการสำแดงพลังอย่างเต็มกำลังของหลี่มู่ ความแข็งแกร่งของพลังจิตวิญญาณแข็งแกร่งกว่าพลังฝึกจิตวิญญาณของนางไม่รู้เท่าไหร่ ราวกับมหาสมุทรอย่างไรอย่างนั้น แต่สำหรับซ่างกวนอวี่ถิงแล้วนี่เป็นเรื่องปกตินัก เพราะพี่มู่ไร้เทียมทานอยู่แล้ว

ซินเอ๋อร์นั้นดูอย่างเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่อีกด้านหนึ่ง

ในสายตาของนางเห็นแค่อากาศรอบกายหลี่มู่เหมือนจะหนืดข้นขึ้น ราวหลุมอากาศที่โปร่งแสงแห่งหนึ่ง ส่วนตราประทับโบราณที่กะพริบแสงห้าสีก็ลอยอยู่บนหัวของหลี่มู่ ละอองหมอกสีขาวแต่ละสายไหลออกมาจากทวารทั้งห้าของเขา พันล้อมเป็นเส้นเป็นกลุ่มไปบนตราประทับโบราณ และแทรกซึมลงไปช้าๆ

นี่เป็นระดับที่พลังจิตวิญญาณแทบจะเป็นของจริงแล้ว

เวลาไหลผ่านไปทุกชั่วขณะ

ตอนนี้สัมผัสทั้งห้าและการรับรู้ทั้งหกของซ่างกวนอวี่ถิงชัดเจนจนถึงขีดสุด นางได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมเพรียงเป็นระลอกๆ ดังมาจากนอกหอหมายเลขสิบแปดอย่างชัดเจน นั่นเป็นเสียงกองกำลังทหารที่ล้อมเข้ามา น่าจะมีหลายพันคนได้ จากการรับรู้ของพลังจิตวิญญาณ นางรู้ว่านอกจากหอหมายเลขสิบแปด หอแขกผู้มีเกียรติชั้นยอดอื่นๆ ที่สร้างขึ้นชั่วคราวโดยรอบถูกรื้อถอนและย้ายออกไปหมดแล้ว ตอนนี้หอหมายเลขสิบแปดเหมือนกับเกาะร้างที่ล้อมรอบด้วยคลื่นคลั่งของทหารชุดเกราะสีดำ

แต่ว่า กองกำลังทหารพวกนี้ดูแล้วแค่คิดล้อมเอาไว้เท่านั้น ไม่ได้มีทีท่าจะโจมตี

ในใจของซ่างกวนอวี่ถิงไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ

ขอแค่มีหลี่มู่อยู่ นางก็ไม่กังวลอะไรทั้งนั้น

เวลาผ่านไป

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามเต็มๆ

แอ่งพลังจิตวิญญาณรอบกายหลี่มู่ถึงจะค่อยๆ สลายไป

ละอองหมอกจิตวิญญาณที่แทบจะแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุเส้นๆ เหล่านั้น ก็ไหลกลับเข้าไปในทวารทั้งห้าของหลี่มู่

เขาลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนยกมือขึ้น ตราประทับที่กำลังกะพริบแสงห้าสี ในเสี้ยวขณะนี้แสงประกายก็หดกลับมา มันเรียบง่ายยิ่งขึ้น บนพื้นผิวมีเม็ดหยาบๆ ที่สัมผัสเหมือนโลหะ ดูแล้วเรียบง่ายไม่ซับซ้อน มันร่วงลงมากลิ้งอยู่ในมือของหลี่มู่ ราวกับภูตน้อยที่อาลัยอาวรณ์เขา

“เป็นของล้ำค่าจริงๆ ด้วยสินะ”

ในที่สุด หลังจากฝึกฝนสำเร็จสมบูรณ์ ตอนนี้หลี่มู่สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในตราห้าเหลี่ยมที่เปลี่ยนไปโบราณและเรียบง่ายมากขึ้นแฝงไว้ด้วยพลังเต๋าอันน่าครั่นคร้าม มหาศาลดุจห้วงทะเลดารา ข้างในราวกับมีจักรวาลกว้างไกลไร้จุดสิ้นสุด

‘มีของวิเศษแบบนี้อยู่ในมือ จะไปที่ใดในใต้หล้านี้ก็ได้’

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของ ‘ตราประทับพลิกนภาห้าธาตุ’ หลี่มู่มีความรู้สึกชั่ววูบว่าอยากจะลองพลังอย่างอดรนทนไม่ไหว แต่คำนึงถึงว่ายามนี้อยู่ในเมืองฉางอัน ความเคลื่อนไหวที่สร้างขึ้นจะให้ยิ่งใหญ่มากไม่ได้ ดังนั้นจึงดับความคิดนี้ทิ้งไป

‘ ‘เฒ่าอัคคี’ นั่นก็ไม่รู้ไปเอาตราประทับนี้มาจากไหน นี่ไม่ใช่อาวุธเต๋าที่โลกนี้ควรจะมีแน่นอน เกรงว่าคงจะมาจากนอกโลก กลับไปต้องหาเวลาไปถามสักหน่อย บางทีอาจจะค้นพบอะไรอื่นๆ มันก็ไม่แน่หรอก’

หลี่มู่ขบคิด

ตัวเขาเองก็มาจากนอกโลกเหมือนกัน

ในเมื่อซินแสเฒ่าสามารถส่งเขามาต่างดาวได้ เช่นนั้นเหล่าผู้วิเศษในจักรวาลพวกนั้นก็ใช่ว่าจะส่งลูกหลานมาโลกใบนี้ไม่ได้ ผู้วิเศษที่ตกทุกข์ได้ยากบางคนอาจร่อนเร่มาถึงดาวดวงนี้ก็เป็นไปได้…หลี่มู่เชื่อว่า การมาถึงของตนน่าจะไม่ใช่กรณีพิเศษ

นี่น่าสนุกเสียแล้ว

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม มีของวิเศษแบบนี้อยู่ในมือ ความเชื่อมั่นของหลี่มู่จึงเพิ่มขึ้นอีกมาก ต่อให้ประมือกับผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ เขาก็สู้ได้แน่นอน

จากการบรรยายของซินแสเฒ่า เหล่าผู้สืบทอดสำนักเซียนในห้วงดาราสมุทรอาศัยของวิเศษที่สำนักมอบให้ก็สามารถท้ารบข้ามระดับพลังได้ สำหรับเหล่าเซียนแล้ว อาวุธเต๋าและอาวุธเซียนก็เป็นส่วนประกอบของกำลังรบพวกเขา บางครั้ง ต่อให้เป็นสำนักเล็กๆ อาศัยของวิเศษเลิศล้ำชิ้นหนึ่งก็ผงาดในยุทธจักรสำนักเซียนแห่งห้วงดาราสมุทรได้

แน่นอนว่าอาจเป็น ‘คนไร้ความผิด ผิดที่ถือครองหยก’ ได้เช่นกัน

หลี่มู่เคยคิดจะสังเวยอาวุธเต๋าเอง แต่ความรู้ด้านการหลอมอาวุธที่เรียนมาจากซินแสเฒ่าไม่เป็นระบบ และไม่สมบูรณ์ หากสังเวยของระดับต่ำที่ไม่สมบูรณ์อย่างกล่องมิติ หรือระเบิดมือใช้ครั้งเดียวแบบนี้พอจะได้อยู่ แต่อย่างอาวุธเต๋าชนิดสมบูรณ์ ต่อให้เป็นระดับล่าง ด้วยความสามารถของเขาตอนนี้ก็ทำได้ยากมาก

คิดไม่ถึงว่าอาวุธเต๋าชิ้นแรกในชีวิตจะได้มาโดยบังเอิญแบบนี้

“ไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา