จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 245

สวีก้งเฟิ่งผู้นี้คือผู้อาวุโสของสำนักขุนคีรี ซึ่งเป็นสำนักระดับหนึ่ง ในอดีตเป็นบุคคลระดับเทพสังหาร สยบศัตรูได้ทั้งหมด ภายหลังอายุค่อยๆ มากขึ้นถึงได้ฝึกฝนบำเพ็ญ กลับมายังสำนักขุนคีรีก็ตั้งใจบากบั่นฝึกฝน พลังฝึกก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ จึงได้เป็นตัวแทนของสำนักขุนคีรี เข้าเป็นกลุ่มก้งเฟิ่งของสำนักตรวจการ

สำนักตรวจการส่งสวีเซิ่งมาถึงเมืองฉางอัน ก็หมายความว่าไม่พอใจลู่หลีจื่อเป็นอย่างมาก

นับจากวันนี้ เรื่องทุกอย่างในเมืองฉางอันล้วนให้สวีเซิ่งเป็นผู้รับผิดชอบ

“เจ้าก็ไร้ความสามารถจริงๆ มาถึงเมืองฉางอันนานขนาดนี้ แม้แต่เด็กคนรุ่นหลังคนหนึ่งก็ยังจัดการไม่ได้ เสียทีที่เป็นนายตรวจเสียจริง” สวีเซิ่งติอย่างไม่เกรงใจ

สวีเซิ่งเมื่อยามหนุ่มก็ได้ชื่อว่าอารมณ์ฉุนเฉียว หลายปีมานี้ต่อให้ตั้งใจฝึกฝน แต่นิสัยก็ไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ พูดจาไม่เกรงใจแม้แต่น้อย อีกทั้งยังดูถูกคนไร้ความสามารถที่อาศัยการแก่งแย่งชื่อเสียงลาภยศเลื่อนขั้นเป็นนายตรวจอย่างลู่หลีจื่อเป็นที่สุด

หน้าลู่หลีจื่อประเดี๋ยวเขียวคล้ำ ประเดี๋ยวแดงก่ำ ก้มหน้าลอบกัดฟัน โต้แย้งอะไรไม่ได้

ทำงานไม่สำเร็จ พูดอะไรล้วนเป็นข้ออ้างทั้งนั้น

อีกทั้งยิ่งพูดมาก ช่องโหว่ก็ยิ่งมาก

แต่ในใจเขากลับกำลังสาปแช่ง ‘สวีเซิ่ง ถ้าเจ้าคิดว่าหลี่มู่เป็นคนรุ่นหลัง เช่นนั้นตอนนี้ก็ไปจับมันซะสิ ฮี่ๆ ในเรือนซอมซ่อมีค่ายกลชั้นยอดน่าตื่นตะลึง วันที่ค่ายกลสำเร็จ ปรากฏแสงเทพห้าสีราวเสาค้ำนภา หลายวันมานี้ดูดซับพลังวิญญาณในฟ้าดินน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งตรอกไล่หมูแทบจะกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ต่อให้เป็นเจ้าสวีเซิ่งก็ทำลายกระดองเต่าชั้นนี้ของหลี่มู่ไม่ได้หรอก’

ฉับพลันได้ยินสวีเซิ่งพูด “หลี่มู่ก็แค่หมากตัวเล็กๆ สังหารมันไม่เปลืองแรงข้าเลยด้วยซ้ำ แต่ว่า อย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าเมืองหลี่…อืม ใครก็ได้ ส่งเทียบเชิญของข้าไป ข้าจะไปเยี่ยมเยือนเจ้าเมืองหลี่ก่อน”

มาถึงระดับอย่างสวีเซิ่ง ถึงจะรู้ว่าขุนนางท้องถิ่นที่กุมอำนาจเมืองหนึ่งนั้นหมายถึงอะไร มีพลังมากมายเพียงใด ในเมืองฉางอัน ผู้มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริงก็คือเจ้าเมืองหลี่กังที่หลายวันมานี้ไม่ว่าคลื่นลมจะหนักหน่วงเพียงใดก็ยังคงปิดปากเงียบ

อย่าคิดว่าองค์ชายสองดูเหมือนมีอำนาจมากมาย นั่นเป็นแค่สิ่งที่แสดงให้เห็นเท่านั้น

มิฉะนั้น คืนที่หน่วยเลี้ยงรับรองเกิดเหตุสังหารวุ่นวาย ไยกองกำลังหลักที่อยู่นอกเมืองจึงไม่มาร่วมด้วย?

หากกองกำลังหลักให้ความร่วมมือล้อมจับพรรคพวกของถังฉงและคนที่ราบทุ่งหญ้า องค์ชายสองจะสูญเสียสองภูตยมบาลไปได้อย่างไร?

หรือถ้าจะบอกว่าเจ้าเมืองหลี่ไม่รู้แผนและการเคลื่อนไหวของพรรคพวกถังฉงและคนที่ราบทุ่งหญ้า สวีเซิ่งก็ไม่เชื่อ

ยี่สิบปีก่อน หลี่กังเป็นแค่บัณฑิตยากจน หนึ่งคนหนึ่งกระบี่เดินทางมาเมืองหลวง เหมือนดั่งเม็ดทรายในทะเลทราย แรกเริ่มก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจอะไรมากมาย แต่สุดท้ายสอบติด แสดงพรสวรรค์อันล้ำเลิศทั้งบุ๋นและบู๊ออกมาให้เห็น หากพูดถึงความฮือฮาที่หลี่กังสร้างในเมืองหลวงเมื่อตอนนั้น ก็โดดเด่นกว่าหลี่มู่เซียนกวีวิถียุทธ์ที่ว่านั่นไม่รู้เท่าไหร่

สามารถเป็นขุนนางท้องถิ่นของจักรวรรดิฉินตะวันตก ครองเมืองฉางอันที่ทั้งอุดมสมบูรณ์และร่ำรวยได้ในเวลาอันสั้นแค่นี้ หลี่กังไม่ใช่แค่ฉลาดมีความสามารถ แต่ยังมีเล่ห์เหลี่ยม มีอำนาจสยบและพลัง

อีกทั้งสวีเซิ่งยังรู้อีกว่าพลังฝึกของหลี่กังที่จริงแล้วน่ากลัวเป็นอย่างมาก

……

โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์

‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงใบหน้าฉายรอยยิ้มนอบน้อมถ่อมตัว แต่ก็ลิงโลด ทำความเคารพให้ผู้เยาว์ที่ดูแล้วอายุแค่สิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น

ข้างหลังเขายังมีลูกศิษย์ของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์บางคน พลังฝึกต่างกันไป ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์มีน้อยมาก ส่วนยอดฝีมือระดับยอดปรมาจารย์นั้นไม่มีเลย หลักๆ แล้วเป็นเพราะวันนั้นธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์สู้จนตาย ต้นไม้ล้มวานนรลี้หนีหาย ยอดฝีมือทั้งหลายต่างตีจาก เหลือแค่บางคนเท่านั้น ถึงแม้จะภักดี แต่พลังธรรมดา

โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ที่ชื่อเสียงเกรียงไกร เป็นเพียงแค่เรื่องในอดีตแล้ว

“หึๆ ใช้ชื่อสำนักกระบี่สวรรค์หาประโยชน์มานานหลายปี แต่กลับทำเรื่องเละเทะแบบนี้ช…ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ เลย” เด็กคนนั้นอายุไม่มาก แต่วาจากลับอวดดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่เห็นจางเฉิงเฟิงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

“นายน้อยโปรดอย่าตำหนิ แต่เดิมพวกเราอยู่ในเมืองฉางอันพอจะมีกำลังอยู่บ้าง น่าเสียดาย…เฮ้อ หลี่มู่นั่นกำเริบเสิบสาน หาข้ออ้างสังหารลูกชายของข้า ทั้งยังลอบวางแผนสังหารบรรพบุรุษสกุลจางของข้า แย่งชิงทรัพย์สมบัติที่สกุลจางบริหารจัดการเพื่อสำนักกระบี่สวรรค์ไปทั้งหมด และยังเอาคัมภีร์กระบี่สวรรค์ไปอีก…” เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มผู้ดื้อดึง จางเฉิงเฟิงไม่กล้าแสดงทีท่าไม่พอใจแม้แต่น้อย ยังคงตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ตระกูลตกต่ำ ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์สู้แพ้ตัวตาย เรื่องนี้กระทบกระเทือนเขาเป็นอย่างมาก ทำให้เขาสงบเสงี่ยมลงกว่าเดิม

แต่ทว่านี่ไม่ใช่เหตุผลหลัก

เหตุผลคือเด็กหนุ่มหัวแข็งที่วาจาน่าตื่นตะลึงเบื้องหน้า ผู้เป็นถึงหนึ่งในสามผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์…‘กระบี่เซียนเหยี่ยวถลาลม’ ฉู่หนานเทียน

นี่คืออัจฉริยะการต่อสู้ชั้นยอดที่ขาดอีกหกวันก็จะอายุครบสิบสี่ปีเต็ม นับจากเข้าวงการจนถึงตอนนี้ไม่เคยพ่ายแพ้ เขาถูกมองว่าเป็นบุคคลชั้นหนึ่งที่อายุน้อยกว่าสิบห้าปีของจักรวรรดิฉินตะวันตกยุคปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน ก็อาจติดยี่สิบอันดับแรกในรายชื่อบุคคลยอดเยี่ยมหลังจากจักรวรรดิฉินตะวันตกเฟื่องฟู

ประเด็นสำคัญคือปู่เล็กของเข เป็นหนึ่งในสองผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักกระบี่สวรรค์ยุคปัจจุบัน

ไม่ว่าจะพลังหรือที่พึ่งล้วนยอดเยี่ยมเป็นหนึ่ง

บุคคลเช่นนี้ ต่อให้ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ฟื้นคืนชีพก็ยังต้องเคารพนบนอบ นับประสาอะไรกับจางเฉิงเฟิง

“โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ เมื่อมีคำว่ากระบี่สวรรค์สองคำนี้ก็ได้รับการคุ้มครองจากสำนักกระบี่สวรรค์ หลี่มู่ตัวจ้อยกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ วันนี้ข้าจะสังหารมันประกาศศักดา ให้คนรู้ว่าเกียรติของสำนักกระบี่สวรรค์จะถูกหยามหมิ่นไม่ได้” ฉู่หนานเทียนพูดพร้อมยิ้มมุมปาก

ใบหน้าของเขาราวใช้มีดปาด เหลี่ยมมุมชัดดจน ร่างกายสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป ว่ากันว่าคุณสมบัติกายพิเศษ ครึ่งหนึ่งมีสายเลือดเผ่าหมอผี ยามพูดสายตาคมปลาบ ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

ทุกครั้งที่จะสังหารยอดฝีมือสร้างชื่อเสียง สีหน้าของเขาล้วนเป็นเช่นนี้

“ไปเรือนซอมซ่อ”

เขาอดใจไม่ไหวแล้ว

……

“เป็นแบบนี้ต่อไปจะยุ่งเอานา”

ในสวนสุสานทหาร วิญญาณขุนพลทั้งหลายหน้าตาอมทุกข์ สีหน้าที่ปรากฏหลากหลาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา