จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 262

ซินแสเฒ่าเป็นใคร?

ปัญหานี้รบกวนจิตใจใครหลายคนที่อยู่ในเมืองฉางอัน

ไม่เคยได้ยินผู้แข็งแกร่งชั้นยอดชื่อซินแสเฒ่ามาก่อน

คิดไปคิดมา น่าจะเป็นอาจารย์ท่านไหนของหลี่มู่ หรือไม่ก็คนในสำนักลึกลับเบื้องหลังเขากระมัง?

แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ล้วนเป็นผู้ที่น่าหวาดกลัวทั้งสิ้น

เพราะหลี่มู่ใช้ชื่อซินแสเฒ่าสาบานจะแก้แค้นให้ฮวาเสี่ยงหรง

และเมื่อพูดถึงหลี่มู่ ทั่วทั้งเมืองฉางอันก็ฮือฮาอีกครั้งเพราะชื่อนี้

เพราะหลี่มู่สังหารผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ ผู้อาวุโสฐานจากสาขาหลักสำนักดับนิวรณ์อย่าง ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่า

นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำสำเร็จได้โดยแท้

ผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์และขั้นฟ้าประทาน ถึงแม้ฟังแล้วจะต่างกันแค่เล็กน้อย แต่อันที่จริงกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว

ถึงแม้บอกว่าโลกใบนี้จะเคยมีตัวอย่างผู้แข็งแกร่งขั้นพลังต่ำกว่าเอาชนะผู้แข็งแกร่งขั้นพลังสูงกว่าได้ แต่ส่วนมากก็เป็นแค่ข้ามขั้นเล็กๆ เท่านั้น อีกทั้งยังอาศัยเคล็ดวิชาเทพหรือพลังจากภายนอก การสังหารผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นเหนือมนุษย์โดยห่างกันขอบเขตขั้นใหญ่บวกกับอีกหลายขอบเขตขั้นเล็กอย่างหลี่มู่แบบนี้ ฟังแล้วเป็นเรื่องเล่าที่ไร้สาระฉากหนึ่ง

แต่ว่าเรื่องจริงประจักษ์อยู่ตรงหน้าแล้ว

สองคนท้าประลอง หลี่มู่มีชีวิตกลับมา แต่ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ กลับไร้ร่องรอย

ความจริงเป็นเช่นนี้

มีคนคาดเดาว่า บางทีจางปู้เหล่าอาจไม่ได้รบตาย เพียงแต่จากไปเพราะเหตุผลบางอย่าง หรืออาจแค่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น…ทว่านี่ไม่ค่อยมีน้ำหนักนัก เพราะหลี่มู่มีชีวิตรอดกลับมาโดยไร้รอยขีดข่วน

ขั้วอำนาจยุทธจักรฝั่งต่างๆ ล้วนแตกตื่นฮือฮา

มีผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์เจอร่องรอยศึกใหญ่ของคนสองคนในป่าผืนนั้นนอกเมืองฉางอัน

ในระยะหลายร้อยลี้ ยอดเขาถล่ม ต้นไม้หักโค่น สิงสาราสัตว์บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ราวกับสนามสงครามเทพมาร ไม่ใช่สิ่งที่แรงมนุษย์จะทำได้เลย ทะเลสาบระเหยเป็นไอ แม่น้ำลำธารเปลี่ยนเส้นทาง เทือกเขาที่เดิมเชื่อมต่อเป็นทิวแถว พื้นที่บริเวณนี้ถูกทำลายจนเป็นแอ่ง ไร้ซึ่งร่องรอยสรรพสัตว์

“ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ ตายแล้ว”

‘เฒ่าอัคคี’ มหาเวทขั้นฟ้าประทานที่มาจากเมืองฉางอันอยู่บริเวณสนามรบ หลังจากหลับตาเข้าฌานรับรู้หนึ่งก้านธูป ก็ได้ข้อสรุปมาเช่นนี้

หลิวเฉิงหลงหัวหน้าหน่วยเลี้ยงรับรองที่อยู่ข้างๆ หนังตากระตุก

ส่วนยอดฝีมือและผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์ขั้นฟ้าประทานบางคน หลังจากสำรวจที่เกิดเหตุแล้ว ก็แทบจะได้ข้อสรุปนี้ออกมาเช่นกัน ดูจากร่องรอยต่างๆ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ ดับดิ้นไปแล้วจริงๆ ในสนามรบมีกลิ่นอายหลังจากเขาตายแล้วหลงเหลืออยู่ นั่นเป็นการตายในฉับพลัน ไม่ใช่หลบหนีไปไหน

ยามเหล่าผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์ที่สำรวจจุดเกิดเหตุกลับมายังเมืองฉางอัน ข่าวก็แพร่สะพัดไป ทำให้ฮือฮาอีกครั้ง

มีผู้แข็งแกร่งมาสนามรบมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรับรู้กลิ่นอายต่างๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ พยายามลองคืนสภาพลำดับขั้นตอนที่หลี่มู่สังหารจางปู้เหล่า เผยความลับที่หลี่มู่ฝืนสังหารขั้นเหนือมนุษย์ได้

เวลาหลายเดือนหลังจากนี้ พื้นที่รกร้างบริเวณร้อยลี้แห่งนี้กลายเป็นจุดชมทิวทัศน์การต่อสู้โดยคร่าวๆ ดึงดูดคนมานับไม่ถ้วน

……

“ฮ่าๆ จิ้งเอ๋อร์ ไปหยิบ ‘เซียนเมามาย’ ที่ข้าเก็บเอาไว้มาดื่มเป็นเพื่อนข้าสิ”

ในจวนสกุลหนิง หนิงหรูซานสั่งให้หนิงจิ้งไปเอาสุราเลิศรสที่เก็บไว้ถึงสามปีเต็มมา และให้บุตรนอกสมรสที่ปกติไม่ได้รับความสำคัญสักเท่าไหร่มาดื่มเป็นเพื่อนตน จากนั้นมอบอำนาจการจัดการดูแลกิจการสำคัญของตระกูลสามสี่แห่งให้แก่คู่สามีภรรยาหนิงจิ้งต่อหน้าทุกคน

นี่ทำให้พวกลูกภรรยาเอกเช่นหนิงคังสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง

“นับจากวันนี้เป็นต้นไป กิจการที่จิ้งเอ๋อร์ดูแล ห้ามใครสอดมือยุ่งเด็ดขาด คำพูดของจิ้งเอ๋อร์ก็คือคำพูดข้า หากมีใครกล้าขัดขวางไม่ปฏิบัติตาม เล่นเล่ห์ลับหลัง อย่าโทษแส้ในมือข้าว่าไม่รู้จักกันก็แล้วกัน” หนิงหรูซานยืนขึ้นช้าๆ กล่าวด้วยสีหน้าเข้มงวด

ท่าทางแบบนี้ของเขาทำให้ทุกคนในสกุลหนิงเข้าใจว่า คู่สามีภรรยาหนิงจิ้งได้อำนาจแล้วจริงๆ

หนิงฮูหยินสงสารบุตรชายทั้งสอง แม้ไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าเอ่ย

อำนาจของหนิงหรูซานในจวนยังคงเด็ดขาดที่สุด

หนิงจิ้งเกาท้ายทอยอย่างเคยชิน ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

ส่วนตงเสวี่ยนั้นมีสีหน้าเรียบนิ่ง

นางที่ฉลาดเฉียบแหลมย่อมรู้ว่าเพราะอะไรพ่อสามีถึงได้ทำดีกับพวกนางถึงขนาดนี้…นอกจากความสามารถด้านการค้าของพวกนาง และบุตรภรรยาหลวงทั้งสองไม่ได้เรื่องแล้ว เหตุผลสำคัญที่สุดก็ไม่พ้นข่าวที่เล่าลือในเมือง ว่าคุณชายมู่สังหารผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์คนหนึ่ง

……

ในฐานที่มั่นพรรคจันทราโลหิตที่ลับตา

จอมมารจันทราโลหิตซึ่งกำลังโมโหตบโต๊ะเบื้องหน้าจนแหลก

ห่างจากวันนัดประลองอีกสองวัน เดิมทีเขาคิดว่าหลี่มู่ต้องตายแน่นอน จึงแอบลงมือจะลักพาตัวฮวาเสี่ยงหรง แต่ใครจะรู้ ฮวาเสี่ยงหรงกลับโจมตีเขาไม่ยั้งจนต้องเสียท่าหนีหัวซุกหัวซุน ตอนนี้หลี่มู่กลับมาอย่างเกรียงไกร…ไม่อาจรอดไปได้แน่แล้ว

ก่อนหน้านี้ที่วิชามารยังไม่สำเร็จ เขาถูกหลี่มู่หลอกจนจำต้องทิ้งฐานที่มั่นหลักซึ่งดูแลจัดการมาอย่างยากลำบาก

และตอนนี้…

เขาลองประเมินดู ตัวเองสู้กับหลี่มู่ ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย

ในเมื่อหลี่มู่สังหาขั้นเหนือมนุษย์เลยเชียว

นี่มันจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเกินไปแล้ว

ศึกท้าประลองที่เขายอดระกาในสองวันให้หลัง มองอย่างไรก็เป็นการเดินไปตายชัดๆ

“ใครก็ได้ ไปตั้งโต๊ะบูชา จุดธูป อัญเชิญเทพจันทรา”

เขาตัดสินใจได้แล้ว

โต๊ะบูชาถูกจัดวางเรียบร้อยในห้องลับ ธูปยาวสีแดงสองดอกซึ่งทำขึ้นจากเลือดของเด็กชายหญิงที่เกิดวัน เดือน ปี เดียวกันตามจันทรคติเก้าคนปักอยู่บนโต๊ะบูชา จุดขึ้นโดยใช้ไฟจันทร์โลหิต ควันสีเลือดลอยอ้อยอิ่งอยู่ในห้องลับเป็นเค้าร่าง มีเสียงร้องไห้ดิ้นรนของเด็กชายหญิงรางๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา