จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 278

หลี่กังร่างกะพริบวูบ ขึ้นมายังกลางท้องฟ้าสูงสามสิบจั้ง ประจันหน้ากับองค์ชายสองที่อยู่บนหอสูงจากไกลๆ เขายกมือเรียกลำแสงสายหนึ่งเข้ามาอยู่กลางฝ่ามือจากทางที่ว่าการซึ่งอยู่ไกลลิบ เมื่อแสงสว่างดับลง กลับเป็นกระจกโบราณผิวด้านที่ไม่มีลวดลายบานหนึ่ง แสงแดดที่ตกกระทบมันเหมือนถูกกลืนกินไป แสงสะท้อนสักเล็กน้อยก็ไม่มี

เมื่อกระจกโบราณอยู่ในมือ รัศมีอำนาจของหลี่กังราวเปลวเพลิงกลางพายุ ลุกโหมรับลม

องค์ชายสองแย้มยิ้มบาง ก่อนจะเอ่ย “ต่อให้เจ้าเรียก ‘กระจกสยบฟ้า’ มาแล้วจะอย่างไร? มีราชโองการของจักรพรรดิควบคุมอยู่ที่นี่ ‘กระจกสยบฟ้า’ ก็เป็นแค่ของไร้ประโยชน์เท่านั้น เจ้าคงไม่คิดจะใช้ของไร้ค่าเช่นนี้พลิกสถานการณ์หรอกกระมัง?”

ใบหน้าหลี่กังฉายแววเยาะหยัน “ของไร้ประโยชน์? ท่าทางองค์ชายจะยังไม่รู้ความลับที่แท้จริงของ ‘กระจกสยบฟ้า’ นะพ่ะย่ะค่ะ”

ว่าแล้ว นิ้วทั้งห้าของเขาก็ประสานปางมือซัดเข้าไปในกระจกโบราณผิวด้าน

ระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ แผ่ไปบนผิวกระจก กระจกโบราณเนื้อโลหะไม่ทราบชื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดขึ้น มันแผ่ปกคลุมไปตามบาดแผลของหลี่กังเหมือนของเหลว ไม่นานนักก็คลุมไปทั่วร่างของเขาด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โลหะในสภาวะของเหลวสีด้านห่อหุ้มหลี่กังเอาไว้ จากนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายจึงแข็งตัวกลายเป็นเกราะสีเงินแวววาว

กระจกสยบฟ้าแปรสภาพเป็นเกราะ

แขนขา ท้อง ศีรษะ คอ หว่างขา กระทั่งใบหน้าของหลี่กัง ล้วนมีเกราะวาววับปกคลุมอยู่ เกราะนี้ประณีตสมบูรณ์แบบ เห็นได้ชัดว่าเป็นผลงานของปรมาจารย์ชุดเกราะ ไร้ซึ่งช่องโหว่ใดๆ ยามเกราะหน้าปิดลงมา ก็ขับเน้นให้เจ้าเมืองฉางอันผู้นี้เหมือนดั่งเทพแห่งสงครามไร้พ่ายที่เดินออกมาจากวังแห่งแสงสว่าง

“โลกโลกีย์ยาวไกล ใครเล่าหวนคืน…กระบี่ธุลีแดง จงมา!”

สองมือของหลี่กังประกบเข้าหากัน ระหว่างฝ่ามือมีแสงสว่างปรากฏขึ้น ก่อนจะวาดเค้าร่างออกมาอย่างรวดเร็วราวกับรูปวาดจากปลายพู่กัน จากนั้นกระบี่สัมฤทธิ์รูปร่างเรียบง่ายเล่มหนึ่งก็ลอยออกมา ลักษณะกลิ่นอายประหลาด ตัวกระบี่มีอักษรสลักเอาไว้ เดี๋ยวเลือนรางเดี๋ยวปรากฏ กำลังเหนี่ยวนำพลังพิลึกบางอย่างในฟ้าดินและหดขยายโดยมีหลี่กังเป็นศูนย์กลาง

“กระบี่ธุลีแดง!”

สายตาขององค์ชายสองจ้องไปยังกระบี่สัมฤทธิ์โบราณเล่มนั้น

ยี่สิบเอ็ดปีที่แล้ว ชื่อสะเทือนทั่วทั้งเมืองฉิน กระบี่ที่สยบใต้หล้าก็คือกระบี่เล่มนี้เอง

ยี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา ถึงแม้มันจะเก็บประกายคมไว้ จอมยุทธ์รุ่นหลังทั้งหลายค่อยๆ ลืมเลือนมัน แต่ในใจของคนระดับสูงที่แท้จริง ความน่าตื่นตะลึงของกระบี่เล่มนี้ยังคงทำให้คนสั่นสะท้าน ในอันดับรายชื่อศาสตราวุธของราชวงศ์ฉินตะวันตก กระบี่ธุลีแดงอยู่ในอันดับหนึ่งของกระบี่มาโดยตลอด และนายของมันก็เป็นจอมยุทธ์กระบี่อันดับหนึ่งแห่งฉินตะวันตกในการจัดอันดับของราชวงศ์เรื่อยมา

วันนี้ ในที่สุดมันก็จะออกมาจากฝักอีกครั้งแล้วอย่างนั้นหรือ?

ต่อให้องค์ชายสองแน่วแน่มาตลอดว่า ‘จะไม่ลงมือด้วยตัวเองเด็ดขาด’ ตอนนี้จิตกระหายการต่อสู้ยังทะลักล้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เผชิญหน้ากับกระบี่ที่สร้างตำนานด้านการยุทธ์ คนที่เป็นวรยุทธ์คนไหนก็อยากลองท้าทายกันทั้งนั้น

แต่สุดท้าย เขาก็ข่มใจเอาไว้ได้

“กระจกสยบฟ้า กระบี่ธุลีแดง ของวิเศษสองชิ้นปรากฏออกมาพร้อมกัน นี่น่าจะเป็นไพ่ตายสุดท้ายของเจ้าแล้วกระมัง” องค์ชายสองมองหลี่กัง “ใต้เท้าหลี่ ข้าให้โอกาสสุดท้ายเจ้า หากเจ้าสาบานกับกระบี่ธุลีแดงในมือของเจ้าว่าจะภักดีกับข้า เช่นนั้นข้าจะเว้นโทษตายให้ หลังจากวันนี้ เจ้าก็จะยังคงเป็นเจ้าเมืองฉางอันต่อไป เรื่องในวันนี้จะจบแค่นี้ ว่าอย่างไร?”

สำหรับองค์ชายสอง ปราบกระบี่ล้ำเลิศเล่มหนึ่ง และสยบจอมยุทธ์กระบี่อันดับหนึ่งแห่งฉินตะวันตกได้ ยิ่งเพิ่มความรู้สึกประสบความสำเร็จให้มากกว่าทำลายกระบี่สังหารคนเป็นไหนๆ

สิ่งที่ให้คำตอบเขาคือแสงกระบี่สายหนึ่ง

“เจ้าไม่คู่ควรพูดประโยคนี้กับข้า”

นี่คือคำตอบของหลี่กัง

ชั่วเวลานี้ เขาไม่ใช่เจ้าเมืองฉางอันผู้จัดการดูแลอย่างถ่อมตนคนนั้นอีกต่อไป แต่เป็นจอมกระบี่อันดับหนึ่งแห่งฉินตะวันตกที่ชักกระบี่ออกจากฝัก เสี้ยวขณะนี้ ความดื้อดึงและหยิ่งทะนงของกระบี่สำแดงออกมาอย่างเต็มกำลัง ยอมหักไม่ยอมงอ หยิ่งทะนงไม่สนใคร กระบี่ออกจากฝักแล้วไม่หวนคืน

นัยย์ตาขององค์ชายสองฉายประกายอำมหิต

“จัดการ!”

เขาโบกมือ

ขั้นเหนือมนุษย์ห้าคนรวมมู่ชิงและนักพรตคิ้วยาวข้างหลังเขาร่างกะพริบราวลำแสง จัดการลงมือล้อมโจมตี

ภายใต้พระราชโองการของจักรพรรดิ พลังสะกดของกระจกสยบฟ้าสิ้นฤทธิ์ พลังฝึกที่แท้จริงของขั้นมนุษย์ทั้งห้ากลับคืนมา สามารถเหนี่ยวนำพลังฟ้าดินได้ ไม่อัดอั้นเหมือนยามสู้กับหลี่มู่ก่อนหน้านี้อีกแล้ว คลื่นพลังน่าหวาดกลัววนอยู่รอบกายพวกเขา ดุจดวงอาทิตย์ดวงโตกลางฟ้าห้าดวง อานุภาพของขั้นเหนือมนุษย์แผ่มา คนทั่วทั้งเมืองฉางอันต่างหวาดกลัวตัวสั่นเพราะพลังของพวกเขาทั้งห้า

แม้แต่หลี่มู่ที่อยู่บนพื้นยังตกใจอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้

พลังของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ เขาเคยเจอมาก่อนยามสู้กับ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่า

และจางปู้เหล่าก็เป็นแค่ขั้นเหนือมนุษย์ครึ่งก้าวเท่านั้น

เขาได้เคล็ดวิชาการต่อสู้ขั้นสูงบางอย่างมาจากมิติเก็บของของจางปู้เหล่า และรู้วิธีฝึกฝนของขั้นเหนือมนุษย์ ในระบบการฝึกฝนวรยุทธ์ของโลกใบนี้ ขั้นฟ้าประทานให้ความสำคัญกับ ‘สามดอกไม้รวมยอด’ หลอมรวมปราณแท้ฟ้าประทาน แปรเปลี่ยนพลังมนุษย์ในกายให้เป็นพลังฟ้าประทาน ส่วนขั้นเหนือมนุษย์ให้ความสำคัญกับ ‘ห้าพลังรวมเป็นหนึ่ง’ พลังทั้งห้าหมายถึงหัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไต หัวใจเก็บจิต ตับเก็บวิญญาณ ม้ามเก็บความคิด ปอดเก็บขวัญ ไตเก็บสารสำคัญในร่างกาย ขั้นเหนือมนุษย์จะเริ่มฝึกฝนพลังทั้งห้านี้ ขอบเขตเหนือมนุษย์จึงแบ่งออกเป็นห้าก้าว ที่พูดกันว่า ก้าวหนึ่งสู่สวรรค์ ก้าวที่ห้าบรรลุเซียน เซียนในที่นี้ก็คือผู้บรรลุ ผู้บรรลุคือเทพเซียนของโลกใบนี้

จางปู้เหล่าฝืนทนฝึกฝนพลังไตได้ แต่สารสำคัญไม่สมบูรณ์

ไตเก็บสารสำคัญ หมายถึงพลังที่ได้มาเองภายหลังเป็นสารสำคัญที่ไม่บริสุทธิ์ พลังฟ้าประทานคือปัญญา ความว่างเปล่าคือความสุข สารสำคัญจึงก่อเป็นรูปร่าง พลังไตคือธาตุน้ำในห้าพลังรวมเป็นหนึ่ง

พลังไตของของจางปู้เหล่าไม่อาจสมบูรณ์ แม้แต่ขั้นเหนือมนุษย์ก้าวที่หนึ่งยังเรียกไม่ได้ เรียกได้แค่ครึ่งก้าวเท่านั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา