ยังดีที่เป็นแค่กระต่ายตื่นตูม
ดวงตาของท่านแม่หลี่แค่ฟื้นคืนกลับมาส่วนหนึ่ง อยู่ในระดับที่ฝืนมองเห็นวัตถุได้ แต่หากจะให้ฟื้นคืนกลับมาสมบูรณ์ ยังคงต้องใช้เวลารักษาอีกระยะหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น แปดปีนี้นางไม่ได้เจอกับหลี่มู่เลย หลี่มู่ที่ออกจากบ้านไปปีนั้นยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อย ตอนนี้ผ่านไปแปดปีแล้ว รูปลักษณ์เปลี่ยนไปมาก ความจริงท่านแม่หลี่ก็จำไม่ได้อยู่ดี
เฝิงหยวนซิงจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับไว้เรียบร้อยแล้ว
เขารู้ว่าหลี่มู่ไม่ชอบงานเอิกเกริก จึงจัดเป็นงานเลี้ยงภายในขนาดเล็กเท่านั้น คนที่มาร่วมงานต่างเป็นคนที่คุ้นเคยกัน เช่นหม่าจวินอู่ เจินเหมิ่ง และยังมีพวกขุนนางในอำเภอสองสามคนที่ช่วงนี้ทำงานกันขยันขันแข็ง ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เฝิงหยวนซิงพาพวกเขามาพบนายใหญ่หลี่มู่ ก็ถือว่าเป็นรางวัลอย่างหนึ่งด้วยกระมัง
ภายในงานเลี้ยง ซ่างกวนอวี่ถิงปรากฏตัวขึ้น นั่งอยู่ด้านขวามือของหลี่มู่
ในใจของพวกเฝิงหยวนซิงต่างคิดกันไปว่า สาวงามราวกับเทพธิดาจากดวงจันทร์คนนี้น่าจะได้เป็นฮูหยินใหญ่ของอำเภอในวันหน้า หลี่มู่ปีนี้ก็อายุสิบห้า หากว่ากันตามกฎหมายของจักรวรรดิฉินตะวันตก ก็ถึงอายุที่ตบแต่งหญิงสาวมาเป็นภรรยาได้แล้ว
บนแผ่นดินใหญ่เสินโจว จำนวนประชากรเป็นมาตรฐานที่สำคัญในการพิจารณากำลังของจักรวรรดิ
ในโลกจอมยุทธ์ การเปรียบเทียบกำลังระหว่างจักรวรรดิ ยังเหมือนกับระบบสังคมศักดินาในสมัยโบราณของประเทศจีน คนเยอะกำลังก็มาก ด้วยเหตุนี้ ไม่เพียงแต่ฉินตะวันตก ซ่งเหนือ และฉู่ใต้ แม้กระทั่งพื้นที่แดนเถื่อนอื่นๆ ก็ล้วนมีกฎหมายที่สัมพันธ์กันเพื่อรับรองการเกิดของประชากร ในจักรวรรดิฉินตะวันตกนี้มีกฎอยู่ข้อหนึ่ง เข้าใจง่ายๆ ก็คือ หากชายอายุสิบหกไม่แต่งงาน บิดามารดาถือว่ามีความผิด หญิงอายุสิบห้าไม่ออกเรือน บิดามารดาก็ถือว่ามีความผิด
ดังนั้นหากว่าตามความคิดของพวกเฝิงหยวนซิง สถานการณ์ในอำเภอค่อนข้างสงบแล้วในตอนนี้ งานมงคลของใต้เท้าขุนนางเมืองก็น่าจะถึงเวลาแล้วเช่นกัน
หลี่มู่อยู่ในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ ก็เหมือนชายโสดที่มีเงินทองอย่างแท้จริง มีบรรดาเศรษฐีพ่อค้าและตระกูลใหญ่ไม่น้อยถูกตาต้องใจ คิดอยากจะส่งบุตรสาวเข้ามา ต่อให้ไม่ได้ตำแหน่งภรรยาเอก เป็นแค่อนุภรรยาก็ยังดี
แต่ดูจากตอนนี้ ใต้เท้าขุนนางเมืองกลับมาจากฉางอัน ได้พาบรรดาสาวน้อยที่งามราวนางสวรรค์กลับมาด้วยอีกกลุ่ม บรรดาคุณหนูตระกูลพ่อค้าคหบดีพวกนั้นก็ต้องชวดกันไป
นับแต่หลี่มู่จากอำเภอขาวพิสุทธิ์ไป ระยะเวลาก็ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว
หลี่มู่นั่งตำแหน่งประธาน กวาดสายตามองผู้คนมากมายที่นี่ ในใจก็อดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้
เพียงไม่นาน เขาก็มาที่โลกใบนี้ครึ่งปีกว่าแล้ว ได้รู้จักผู้คนมากมาย ได้รู้เรื่องราวต่างๆ มากขึ้น เรื่องที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด ก็คือพลังฝึกของเขาพัฒนาไปได้เร็วกว่าที่คิดไว้ในตอนแรกมาก โดยเฉพาะช่วงที่ปิดด่านฝึกวิชาสิบห้าวันในเมืองฉางอัน พลังแท้จริงสูงขึ้นราวพุ่งทะยาน กำลังภายในในร่าง แปดส่วนกลายเป็นปราณแท้ฟ้าประทานแล้ว ส่วนด้านทักษะการต่อสู้และการยกระดับพลังยิ่งมากเกินจะวัดได้
เขาสังเกตเจอแก่นแท้ของพลังขั้นสูงในโลกวิถียุทธ์นี้แล้ว
นี่ถือเป็นการเปิดหน้าต่างบานใหม่ให้เส้นทางจอมยุทธ์ก้าวต่อไปสำหรับเขาเลยทีเดียว
และบุคคลที่นั่งกันอยู่ที่นี่ ล้วนเป็นเพื่อนกลุ่มแรกที่เขารู้จักในโลกนี้
หม่าจวินอู่บาดแผลหายดีแล้ว เพียงแต่แขนหายไปข้างหนึ่ง ไม่อาจง้างคันธนูได้อีก สำหรับคนที่มีเจตนารมณ์อยากเป็นยอดนักธนูและเข้ากองธนูสำนักทุ่งปิดภูผาแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่โหดร้ายยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ช่วงนี้หลี่มู่คิดอยู่ตลอดว่าจะชดเชยให้เขาอย่างไรดี และตอนนี้ก็ได้ผลสรุปแล้ว
เขายกมือขึ้น หนังสือสีฟ้าเล่มหนึ่งลอยไปด้านหน้าของหม่าจวินอู่
“ใต้เท้า?” หม่าจวินอู่ประหลาดใจ
หลี่มู่เอ่ย “นี่เป็นตำราลับที่ข้าหามาให้เจ้าโดยเฉพาะ แม้แขนจะขาดก็ยังร่ำเรียนได้… เล่าลือกันว่าเมื่อเข้าสู่ขั้นเทวะ จะทำให้แขนขาที่ขาดไปงอกกลับมาใหม่ได้ทั้งเนื้อทั้งกระดูก จวินอู่เจ้าอย่าเพิ่งละทิ้งความพยายาม สิ่งที่เรียกว่าความยากลำบาก จะช่วยผลักดันเจ้าให้ทำสำเร็จ ไม่แน่ว่าเคราะห์ที่ต้องแขนขาด อาจเป็นโอกาสส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จด้านยุทธ์ก็เป็นได้”
หม่าจวินอู่ได้ยินแล้วก็รับหนังสือมา ในใจยินดีอย่างที่ยากจะสะกดกลั้นเอาไว้ได้
เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากที่แขนขาด พลังสูญสิ้น ก็กลายเป็นเศษขยะไร้ค่าไปแล้ว ไม่มีทางรับใช้ขุนนางเมืองได้อีก จะช้าเร็วก็ต้องออกจากส่วนสำคัญของงานราชการอำเภอขาวพิสุทธิ์ ไม่คิดเลยว่าใต้เท้าขุนนางเมืองจะคิดถึงความรู้สึกเก่าๆ ควานหาตำราลับวรยุทธ์เล่มนี้มาให้เขาโดยเฉพาะ…
“ขอบคุณใต้เท้า” หม่าจวินอู่คุกเข่าขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
หลี่มู่เป็นคนจากโลกมนุษย์ ไม่คุ้นชินกับพิธีการที่เอะอะก็คุกเข่าให้กันเช่นนี้ แต่เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เขาจึงรับการขอบคุณนี้ของหม่าจวินอู่ไว้
หลังจากนั้น เขายังมอบเคล็ดวิชาให้พวกเฝิงหยวนซิงเจินเหมิ่งด้วย
ของพวกนี้ก็ถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าเช่นกัน
ทุกคนดีใจกันถ้วนหน้า
วิชาที่หลี่มู่มอบให้ ต่างก็เป็นตำราลับวิชายุทธ์ระดับสูงที่ปกติพวกเขาไม่กล้าจะคิดถึง
นี่อาจเป็นวิธีซื้อใจคนของหลี่มู่ก็เป็นได้ หากจะพูดถึงตอนนี้ หลี่มู่ยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องการให้คนเหล่านี้ไปจัดการ ดังนั้นยิ่งพลังของพวกเขาแกร่งขึ้น ความสามารถยิ่งสูงเพียงใด ก็ช่วยเหลือหลี่มู่ได้มากขึ้นเท่านั้น
หลังผ่านศึกครั้งนี้ที่เมืองฉางอัน หลี่มู่ก็ค่อยๆ ตระหนักได้ว่าต้นไม้เดี่ยวหรือจะสู้ป่าทั้งผืน ตนเองต้องการจะออกไปจากดาวดวงนี้ภายในยี่สิบปี แต่อาศัยเพียงแรงตนเอง ทำตามใจโดยไม่สนความจริง เช่นนั้นก็ไม่ไหวแน่ ต่อให้ตนเองรู้เคล็ดวิชาฝึกฝนขั้นเซียนก็ตาม
เพราะการฝึกฝน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว
คนอย่างหลี่กังหรือองค์ชายสอง มีพร้อมทั้งพรสวรรค์ ฐานะตำแหน่ง แน่นอนว่าต้องเข้าขั้นได้เร็วกว่าพวกที่ฝึกสะเปะสะปะไร้พื้นฐาน เพราะมีทรัพยากรมากมายให้ใช้ตามใจ และมีคนนับไม่ถ้วนที่คอยทำงานให้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถยืนอยู่เหนือจอมยุทธ์มากมายได้
หลี่มู่รู้สึกว่าตนควรสั่งสมขั้วอำนาจของตัวเองเสียที
ขณะที่อยู่ในฉางอัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีแหล่งข่าวจากเจิ้งฉุนเจี้ยน เขาก็เหมือนคนตาบอดเลยทีเดียว ในสถานการณ์ต่างๆ คงกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำ และเขาก็ไม่อาจพึ่งพาเจิ้งฉุนเจี้ยนไปตลอดได้ เพราะอย่างไรเสียซิ่วไฉใจเหี้ยมคนนี้ก็เป็นคนของเจ้าเมืองชายชั่วหลี่กัง
หลี่กังเป็นคนอย่างไร?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา