หลี่กังได้ยินดังนั้นจึงยิ้มบางๆ
ที่ปรึกษาเถียนไม่เป็นวรยุทธ์ พลังของเขายังสู้เจิ้งฉุนเจี้ยนไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เขาเชี่ยวชาญวิชาด้านการทำนาย เสี่ยงทาย และพยากรณ์ดวงชะตามาก ดวงตาทั้งคู่จึงมองคนได้แม่นยำกว่าใคร
ในเมื่อที่ปรึกษาเถียนว่ามาเช่นนี้ เช่นนั้นก็คงจะไม่ผิดแล้ว
หวงเหวินหย่วนผู้นี้แม้มีใจมุ่งมาดสูงเทียมฟ้า ชะตากลับบางราวกระดาษ เป็นคนที่เหมาะแก่การเป็นแพะรับบาปโดยกำเนิด
หลี่กังคิดถึงคำวิจารณ์หลี่มู่ของที่ปรึกษาเถียนขึ้นมาได้ มีเพียงแค่สี่คำสั้นๆ ว่า ‘สังหารทิ้งโดยไว’ พอถามถึงเหตุผลก็ได้รับคำอธิบายว่า ‘คาดคะเนด้วยหลักการยาก ไม่ถูกควบคุมใดๆ มีตัวแปรอยู่’ และเรื่องในช่วงนี้สามารถยืนยันได้ ว่าตัวแปรของหลี่มู่นั้นมากมายจริงๆ การที่องค์ชายสองตายลงด้วยน้ำมือหลี่มู่คือหลักฐานยืนยัน
“เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ” หลี่กังโบกมือ
ที่ปรึกษาเถียนค้อมตัวเดินออกไป
หลี่กังค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ แบมือออก แสงสีเงินปรากฏขึ้นมาก่อนเปลี่ยนรูปร่างเป็นกระจกโบราณ หรือก็คือ ‘กระจกสยบฟ้า’ นั่นเอง
เขาเริ่มท่องคาถา ระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ ลอยขึ้นมาบนผิวกระจก จากนั้นก็เหมือนกับวิชากระจกวารี สิ่งที่ปรากฏคือแผนที่ทั้งหมดของเมืองฉางอัน แต่บริเวณของอำเภอขาวพิสุทธิ์ บัดนี้กลับมีเงาดำผืนหนึ่งปกคลุม ประหนึ่งมีพลังประหลาดบางอย่างปิดกั้นเอาไว้ ไม่สามารถมองเห็นภาพด้านในได้
“ยังคงมองเห็นไม่ชัด…นี่คิดจะตั้งตนเป็นราชาหรือไร? กล้าหาญชาญชัยเกินไปแล้ว”
หลี่กังวางกระจกลงด้วยสีหน้าอึมครึม
เงาดำพวกนี้คงเป็นค่ายกลที่เจิ้งฉุนเจี้ยนพูดไว้
สองเดือนก่อนหน้ายังไม่เป็นเช่นนี้เลย
หรือพูดอีกอย่างคือ หลี่มู่ใช้เวลาภายในสองเดือนวางค่ายกลที่สกัดกั้นการมองเห็นของ ‘กระจกสยบฟ้า’ ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ได้ ทว่า ‘กระจกสยบฟ้า’ เป็นสิ่งที่สำนักเทพทั้งเก้าหลอมขึ้นมาร่วมกับราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ ลือชื่อในเรื่องการตรวจตราทั่วหล้า นอกจากวังหลวงกับสำนักเทพแล้ว ขอแค่อยู่ในขอบเขตการตรวจตรา ก็ไม่มีอะไรที่มองไม่เห็น…
อาจารย์เบื้องหลังของหลี่มู่ ถึงขนาดต่อกรสำนักเทพได้เลยหรือ?
เป็นสำนักโบราณที่ซ่อนตัวอยู่สำนักไหนกันแน่?
หลี่กังเก็บ ‘กระจกสยบฟ้า’ ในใจครุ่นคิดชั่งน้ำหนัก
เพียงครู่เดียว เจิ้งฉุนเจี้ยนก็นำหลี่ปิงเดินเข้ามา
“ท่านพ่อ…” หลี่ปิงคอตก ไม่กล้าหายใจแรง
หลี่กังเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้น “กลับมาแล้วก็ไม่ต้องออกไปก่อเรื่องมั่วซั่วด้านนอกอีก ครั้งนี้ถือว่าเป็นบทเรียนครั้งหนึ่งของเจ้า เงินช่วงไม่กี่เดือนนี้ เจ้าไปเบิกเอาที่ห้องบัญชีแล้วกัน…” ท่าทีเขาไม่รู้ร้อนรู้หนาว
หลี่ปิงผงกศีรษะ ไม่กล้าพูดอะไรอีก หันหลังเดินจากไป
ในใจของเขายำเกรงบิดาคนนี้มากมาโดยตลอด
“ใต้เท้า ข่าวคราวต่างๆ ยังต้องส่งให้กับอำเภอขาวพิสุทธิ์เช่นเดิมหรือไม่?” เจิ้งฉุนเจี้ยนขอคำชี้แนะ
หลี่กังเงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องใบหน้าเจิ้งฉุนเจี้ยน เจิ้งฉุนเจี้ยนใจสั่น หลี่กังยิ้มขึ้นน้อยๆ ก่อนเอ่ยว่า “เจิ้งฉุนเจี้ยน การขอคำชี้แนะในช่วงนี้ของเจ้าถี่เกินไปนะ ก่อนหน้าไม่เห็นเป็นเช่นนี้ เรื่องบางเรื่องเจ้าตัดสินใจทำไปเลยก็ได้ ไม่ต้องมาขอคำชี้แนะจากข้า ข้ายังเชื่อในความสามารถและความซื่อสัตย์ของเจ้า อีกไม่นานข้าจะเชิญคนมาช่วยจัดการคำสาปในร่างกายของเจ้าให้ เจ้าวางใจเถอะ”
เจิ้งฉุนเจี้ยนซาบซึ้งจนหลั่งน้ำตา กล่าวว่า “ขอบคุณขอรับใต้เท้า บุญคุณของท่าน ฉุนเจี้ยนตายเก้าครั้งก็ตอบแทนไม่หมด”
……
กลางดึกสงัด
ไป๋เซวียนนั่งอยู่ในห้องของตนด้วยท่าทางหวาดหวั่นและสงสัย
ในฐานะสตรีนางหนึ่ง ทั้งยังเป็นสตรีที่งดงาม นางสนใจในความงามของตนเองมาก ดังนั้นจึงคอยบำรุงรักษามาโดยตลอด นอนดึกน้อยครั้งนัก แต่ว่าคืนนี้ล่วงเลยเที่ยงคืนมาแล้ว ใจของนางยังคงหลับไม่ลง
‘คุณชายหวงผู้นี้อำมหิต จิตใจไร้ปรานี หากฮวาเอ๋อร์ตกอยู่ในกำมือมัน…’
ไป๋เซวียนคิดถึงฉิงเอ๋อร์ที่จากไปแล้ว ในใจทั้งปวดร้าวและเห็นใจ
นางไม่เหมือนแม่เล้าของหอคณิกาอื่น ไป๋เซวียนหวังให้พวกเด็กสาวของตนเองมีชีวิตปลายทางที่ดี นางเห็นฉิงเอ๋อร์เหมือนลูกในไส้และตั้งความหวังไว้สูงเช่นเดียวกับฮวาเสี่ยงหรง แต่ตอนนี้…นางจะไม่ร้องไห้ได้อย่างไร? จะไม่โกรธแค้นได้อย่างไร?
‘ต้องเตือนพวกคุณชายหลี่เสียแล้ว’
ไป๋เซวียนตัดสินใจได้
นางหยิบพู่กันเขียนจดหมาย เขียนบรรยายข่าวคราวทั้งหมดในหลายวันนี้ที่ตนเองได้ยินมาในสถานเริงรมย์ รวมไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ในจดหมายยังกำชับอีกว่าให้หลี่มู่รับมืออย่างระมัดระวัง อย่าได้ประมาทโดยเด็ดขาด หากจำเป็นให้พาฮวาเสี่ยงหรงหนีไปให้ไกลแสนไกล…
เมื่อเขียนจบ ไป๋เซวียนให้เด็กรับใช้คนสนิทที่ไว้วางใจที่สุดคนหนึ่งนำจดหมายนี้ขี่ม้าเร็วข้ามคืนส่งไปยังอำเภอขาวพิสุทธิ์
‘หวังว่าคุณชายหลี่กับฮวาเอ๋อร์จะหลีกพ้นภัยครั้งนี้ได้’
……
เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์
หลี่มู่ได้รับจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับ
ผู้ส่งจดหมายคือสุภาพบุรุษวาโยหวางเฉิน
“ฝ่าบาทของข้ารู้สึกขอบคุณในบุญคุณที่คุณชายช่วยเหลือเอาไว้” สุภาพบุรุษวาโยเอ่ยด้วยความเคารพยิ่ง
หลี่มู่เปิดจดหมายออกอ่าน
ฝ่าบาทท่านนั้น ในจดหมายเขียนขอบคุณต่อบุญคุณที่หลี่มู่ช่วยเหลือเอาไว้วันนั้น ทั้งยังรวบรวมเงินมาจนครบห้าแสนตำลึงทอง ชดใช้หนี้ก่อนหน้านี้คืนให้กับหลี่มู่ ท้ายจดหมายยังเตือนหลี่มู่ด้วยว่า สถานการณ์ในราชสำนักตอนนี้ไม่สู้ดีนักสำหรับเขา ผู้มีอำนาจสั่งการอย่างลับๆ ให้จับตัวหลี่มู่มาเป็นแพะรับบาปเรื่องการตายขององค์ชายสอง เพื่อรับมือกับจักรพรรดิฉินตะวันตกที่กำลังจะออกจากการปิดด่าน ดังนั้นจึงแนะนำให้หลี่มู่หนีไปจากยุทธจักรนี้เสีย…
หลี่มู่อ่านจบแล้วยิ้มเล็กน้อย
นี่เป็นคนที่สองแล้วที่เตือนให้เขาไปจากอำเภอขาวพิสุทธิ์
ไม่ว่าอย่างไร ก็ถือเป็นความหวังดีล่ะนะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา