คุณค่าของครึ่งขั้นเทวะคนหนึ่ง มีอยู่มากเพียงไหน?
คำถามนี้ สามารถหาคำตอบได้จากหลายๆ ด้าน
แต่สำหรับหลี่มู่แล้ว การที่ได้รับแรงจากหวงเซิ่งอี้ คือโชคดีที่เหมือนบนฟากฟ้ามีขนมแป้งสอดไส้ร่วงลงมา หวงเซิ่งอี้ฝึกพลังแห่งเพลิงสีชาด ในธาตุทั้งห้า ไฟเดิมทีเป็นธาตุแห่งการหล่อหลอมลำดับหนึ่ง และเพลิงสีชาดก็เป็นหนึ่งในเปลวเพลิง อานุภาพเพียงพอจะถูกจัดอยู่ในสิบลำดับแรกของไฟอัศจรรย์ เดิมทีหวงเซิ่งอี้ก็เป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธของทุ่งปิดภูผาอยู่แล้ว ในจักรวรรดิฉินตะวันตกนี้ ที่มาของตำแหน่งอันสูงส่งของเขา ครึ่งหนึ่งมาจากพลังยุทธ์ในตัว อีกครึ่งก็คือวิชาหล่อหลอมอาวุธ
ปกติ คนที่ขอให้เขาหลอมอาวุธล้วนเป็นขุนนางใหญ่โตและผู้เยี่ยมยุทธ์ ใครที่ไม่เข้ามาอ้อนวอนเสียงอ่อนหรือส่งของกำนัลขนานใหญ่มา หวงเซิ่งอี้ก็จะมีท่าทีเฉยชา ดูอารมณ์ก่อนว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย
แต่ตอนนี้ตกอยู่ในกำมือของหลี่มู่ อย่าว่าแต่จะวางท่าเป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธเลย แค่ชักช้าเพียงนิด หรือตอบโต้ช้าเพียงหน่อย หลี่มู่ก็จะยกหมัดประเคนหรือไม่ก็ฟาดฝ่ามือใส่ราวกับเห็นเขาไม่ใช่คนทันที
หวงเซิ่งอี้รู้สึกอดสูยิ่งนัก
แต่เขาก็ไม่กล้าปิดบังหรือโกหกหลี่มู่
เพราะว่าเขาค้นพบอย่างน่าตกตะลึงว่า หลี่มู่แม้จะไม่คุ้นเคยกับระบบของวิชาหลอมอาวุธนัก ทว่ากลับเข้าใจระบบการหลอมอาวุธที่ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ เพียงแค่แสดงให้เห็นเล็กน้อย ก็พอที่จะทำให้เขาตกตะลึงได้แล้ว
มีอยู่หลายครั้ง ขณะที่หวงเซิ่งอี้กำลังหลอมอาวุธ จงใจขัดขาไปนิดหน่อย เมื่อหลี่มู่รับคำชี้แนะไปและหลอมอาวุธออกมา ขณะที่นำไปทดลองก็เกิดระเบิดขึ้น
หลังจากนั้น หวงเซิ่งอี้ถูกหลี่มู่ซัดน่วมครึ่งเป็นครึ่งตาย แถมยังคว้าเอาดาบวัฏจักรมาเฉือนไปอีกหลายแผล
“ถ้ายังหลอกกันหรือมีลูกไม้อีก เจ้าเชื่อไหมว่าข้าฟันเจ้าทิ้งได้ทันที” จอมมารหลี่พูดขึ้นอย่างเดือดดาล “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าหากไม่มีเจ้า แล้วข้าจะหลอมดาบไม่ได้? ข้าแค่ให้โอกาสเจ้าชดเชยบาปเท่านั้น ไม่ได้ขอร้อง…เจ้าเข้าใจให้ดีๆ อย่ามายั่วโมโหข้า ข้ามันคนบ้า ตอนที่บ้าขึ้นมา ตัวข้าเองยังกลัวเลย”
หวงเซิ่งอี้ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด จมูกเขียวหน้าบวม ตัวสั่นงันงก
ท้ายสุด เขาก็ยอมศิโรราบ ไม่กล้ามีลูกไม้ใดๆ อีก
ยังดีที่ร่างกายของครึ่งขั้นเทวะ ต่อให้ไม่มีพลังฟ้าดิน พลังฝึกโดนสะกดเอาไว้ แต่คุณสมบัติของร่างกายก็ยังสูงกว่าร่างธรรมดาทั่วไป พลังฟื้นฟูยังคงน่าตกใจอยู่ บาดแผลหายได้รวดเร็วมาก
เขาชี้แนะหลี่มู่อย่างตรงไปตรงมา
นอกจากใส่ทฤษฎีความรู้แล้ว เขายังต้องกระตุ้นปราณแท้ในร่างกาย ปากพ่นเพลิงสีชาดเข้าใส่ค่ายกล เหมือนกับตัวไหมที่ต้องคอยพ่นใยออกมา เพิ่มพลังธาตุไฟให้กับ ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ …กว่าสิบครั้ง เขาถูกบังคับให้พ่นไฟจนหน้ามืดตาลาย เหนื่อยจนแทบจะอาเจียน…
แค่คำเดียว…
อนาถจริงๆ
หลังจากที่เหตุการณ์เช่นนี้ติดต่อกันไปห้าวัน ดาบวัฏจักรในที่สุดก็หลอมขั้นที่สองสำเร็จตามที่หลี่มู่คิดเอาไว้
สิ่งเจือปนอื่นๆ ในตัวดาบถูกขจัดทิ้งไปจนหมด
ดาบยาวถูกกำไว้ในมือ ราวกับน้ำสารทฤดูไหวระยิบระยับ เดี๋ยวเลือนเดี๋ยวชัดไม่หยุดนิ่ง ค่ายกลด้านในหมุนโคจร คุณสมบัติสื่อนำปราณแท้อยู่ในระดับที่เกือบเข้าขั้นไร้วัตถุ หลี่มู่เพียงตวัดเบาๆ ก็สามารถมองเห็นอากาศถูกตัดแบ่งเป็นสองซีกเสมือนหั่นเนย
ส่วนเรื่องความคม…
“เดี๋ยวๆๆ เจ้าจะทำอะไร? อย่านะ…แขนขาเหี่ยวๆ ของข้าทนแค่ดาบเดียวก็ไม่ไหวแล้ว นี่เป็นอาวุธระดับสมบัติเวทเล่มหนึ่งเชียวนะ” เมื่อเห็นหลี่มู่จับดาบ จ้องมองมาที่เขา ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ร้องเสียงแหลมขึ้นด้วยความตกใจ ด้วยกลัวว่าหลี่มู่จะเอาตัวเขามาลองดาบ
ดาบเล่มนี้เป็นสิ่งที่เขาช่วยหลอมมันออกมา ถึงแม้หลี่มู่จะเป็นตัวหลักการหลอม ลงค่ายกลเอาไว้ในกลุ่มดาบเล็กทั้งยี่สิบสี่เล่ม ในทุกๆ เล่มเขามองไม่ออกทั้งหมด แต่เขาก็ยังดูออกว่าเป็นคุณภาพชั้นยอด เป็นอาวุธที่เกินระดับสมบัติวิญญาณไปแล้ว ถ้าฟันมันลงมา ร่างครึ่งเทวะที่ถูกปิดผนึกพลังฝึกเอาไว้ของเขาไม่มีทางจะรับไหวแน่
หลี่มู่เห็นหวงเซิ่งอี้หวาดกลัวขนาดนั้น จึงล้มเลิกความคิดไป
จริงๆ แล้วในใจเขาก็คิดๆ ว่าชายแก่หัวล้านคนนี้ นอกจากบุกเข้ามาอย่างเดือดดาลเพื่อล้างแค้นให้กับหลานชายของตนเองแล้ว ก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรต่ออำเภอขาวพิสุทธิ์ ถ้าฟันเขาทิ้งเสียเลยก็ดูโหดร้ายเกินไปหน่อย เมื่อคิดได้ จึงลงคำสาปวิชาเต๋าหลายชนิดรวมถึงยันต์เป็นตายไปในตัวเขา จากนั้นฟาดเขาจนสลบ แล้วโยนเข้าไปคุมขังไว้ในคุกก่อนชั่วคราว
ส่วนเรื่องที่ว่าจะจัดการอย่างไร หลี่มู่ยังคิดไม่ออก
ค่อยว่ากันใหม่เถอะ ถึงอย่างไรครึ่งเทวะก็ยังมีประโยชน์อยู่มาก เก็บเอาไว้ก่อนค่อยว่ากัน
ราชาปีศาจหลี่คิดทบทวนอยู่อีก ตนเองทำแบบนี้ไม่ค่อยจะดีนักกระมัง แค่แกะห่อพัสดุด่วนยังพอว่า แต่ยังจะมากักตัวคนส่งพัสดุเอาไว้อีก…แต่ว่าถ้าไม่กักไว้ ก็รู้สึกไม่ค่อยดีกับตัวเองเท่าไร
หลังกลับมาที่ห้องฝึกยุทธ์ของตนเอง หลี่มู่เริ่มฝึกวิชาดาบอีกครั้ง
ท้ายที่สุด เขากระตุ้นค่ายกล บนตัวดาบวัฏจักรที่สว่างราวน้ำสารทฤดูมีค่ายกลเปล่งประกาย ขยายตัวขึ้นอย่างฉับพลัน กลายเป็นคมดาบหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ ด้านหลังดาบกว้างราวสองฉื่อ เพียงพอที่จะเหยียบขึ้นไปและใช้วิชาดาบเหินหาว จากนั้นเมื่อกระตุ้นค่ายกลย้อนกลับ คมดาบก็หดเล็กลง กลายเป็นขนาดราวฝ่ามือลอยวนอยู่รอบกายหลี่มู่
“มีดบินลี้คิ้มฮวง ไม่มีวันพลาดเป้า”
หลี่มู่นึกถึงประโยคที่เคยทำให้สาวกกำลังภายในมากมายคึกคักเลือดพล่าน
เขาเองก็สกุลหลี่ (ลี้) นี่นะ
หลี่มู่กระตุ้นในใจ ขึ้นขี่ดาบเหินหาวพุ่งออกมาจากห้อง ทะยานสู่ท้องฟ้า ราวกับลำแสงเส้นหนึ่ง แหวกผ่านแผ่นฟ้ายามค่ำคืน บินถลาด้วยความเร็วสูงอยู่ระหว่างเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ดุจสายฟ้า
ดาบวัฏจักรก่อนหน้าสามารถบินได้ด้วยระดับเหนือเสียงแล้ว
แต่ตอนนี้ยกระดับขึ้นจากสมบัติวิญญาณมาเป็นสมบัติเวท ความเร็วจึงมากขึ้นกว่าเดิม ภายใต้การกระตุ้นสุดแรงของหลี่มู่ มันขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับความเร็วแสงเลยทีเดียว ความเร็วแทบไปถึงระดับที่ไม่น่าเชื่อ ภาพที่หลี่มู่มองเห็นไม่อาจตามความเร็วของดาบได้ทัน ต้องใช้เนตรสวรรค์ถึงจะแยกแยะภาพทิวทัศน์โดยรอบได้
เขาวนรอบเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ได้หนึ่งรอบในการหายใจสิบครั้ง เท่ากับว่าในการหายใจสิบครั้ง สามารถบินได้ถึงพันลี้ ความเร็วระดับนี้พิสดารไปแล้ว ต่อให้เป็นขั้นเทวะก็ยังทำไม่ได้
“ฮี่ๆ คราวหลังเวลาหนี ก็จะไม่มีใครตามข้าทันอีก”
ในใจหลี่มู่ลิงโลดยินดี
นี่ก็คือวิธีรักษาชีวิตเอาตัวรอดนั่นละ
สู้ไม่ได้ก็หนีเสีย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา