หลี่มู่ก็รู้สึกมึนงงอยู่บ้างเช่นกัน
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทำไมแค่นี้ก็ทำสำเร็จแล้ว
เจ้าวิชานึกนิมิตน้ำพุเหลืองเพลิงชาดนี่ร้ายกาจระดับนี้หรือ?
วิชานึกนิมิตอื่นๆ เขาทดลองมาไม่หนึ่งพันก็แปดร้อยครั้งแล้ว ทำอย่างไรก็ฝึกคุณสมบัติปราณแท้ใดๆ ออกมาไม่ได้ แต่ ‘นึกนิมิตน้ำพุเหลืองเพลิงชาด’ นี้ เมื่อครู่ได้ฟัง ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้พูดมาว่ายากเย็นเพียงไหน และจุกจิกกับเรื่องร่างกายเพียงไร หลี่มู่ก็เพียงแค่กอดโชคหนึ่งในหมื่นไว้แล้วทดลองดู โคจรพลังจิตวิญญาณลองนึกนิมิตเล็กน้อยตามเนื้อหาที่ว่ามา ใครจะไปรู้ ปราณแท้ในร่างเหมือนน้ำมันพบกับเปลวไฟในพริบตา แค่จุดก็ลุกพรึ่บ เปลี่ยนเป็นปราณแท้คุณสมบัติเปลวไฟในทันที
หลี่มู่ขยับความคิด
พรึ่บ
ทั่วร่างเขาทั้งบนและล่างมีเปลวไฟแผดเผา ไม่ต่างอะไรจากโกสต์ไรเดอร์ขี่มอเตอร์ไซด์ไฟลุกท่วมที่นิโคลัส เคจเล่น ยังดีที่ในเปลวไฟใบหน้าของเขาไม่ได้ถูกเผาจนเหลือแต่กะโหลก แต่ว่าก็ดูเท่ระเบิดดีจริงๆ
หลังจากนั้น เสื้อผ้าทั้งบนล่างของราชาปีศาจหลี่เกิดเสียงฟู่ขึ้นมา ก่อนสลายกลายเป็นฝุ่นไป…
“ว้าก”
หลี่มู่ร่างไหววูบ หายตัวออกไปจากห้องนี้ทันที
ชั่วสิบลมหายใจต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เปลี่ยนชุดใหม่มาเรียบร้อย สายตาที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารจ้องมองไปที่หวงเซิ่งอี้ เอ่ยขึ้นว่า “บอกมา เมื่อครู่เจ้าเห็นอะไร?”
“ข้า@#¥%… ” หวงเซิ่งอี้จับต้นชนปลายไม่ถูก
‘ข้าก็เป็นชายทั้งแท่ง เจ้าก็ไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย ถ้าเห็นอะไรไปแล้วมันจะทำไมกัน เจ้าคิดว่าข้าชอบผู้ชายโป๊เปลือยหรือไร? ข้ายังกลัวเป็นตากุ้งยิงเสียด้วยซ้ำ’ แต่แน่นอนว่าเขาไม่กล้าพูดออกมา และรีบตอบกลับอย่างซื่อสัตย์ “วางใจได้ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
หลี่มู่ผงกศีรษะขึ้นลงด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ข้าเห็นตอนเจ้ากระตุ้นเพลิงชาด ไม่เห็นว่าเสื้อผ้าจะถูกเผาเลย…” ยังดีที่เปลวไฟนี้แปรมาจากปราณแท้ที่เป็นพลังของร่างกายตนเอง ดังนั้นจึงไม่เผาเส้นผมขนคิ้วไปด้วย มิเช่นนั้นหลี่มู่คงได้ร้องไห้ออกมาจริงๆ แล้ว
“นี่เป็นเพราะยังไม่คุ้นชินกับการควบคุมปราณแท้” หวงเซิ่งอี้อยู่ในท่าทีข่มอารมณ์ เหมือนกับอาจารย์ระดับสูงในมหาวิทยาลัยอธิบายเรื่องสูตรคูณให้เด็กประถมฟัง อธิบายหลักการหนึ่งรอบว่าจะควบคุมปราณแท้อย่างไร รวมไปถึงกลวิธีโจมตีสังหารของปราณแท้ด้วย
อดยอมรับไม่ได้จริงๆ ครึ่งเทวะก็คือครึ่งเทวะ อธิบายสิ่งที่ลึกซึ้งด้วยคำพูดง่ายๆ ออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวามาก
หลี่มู่ฟังอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยๆ จับใจความสำคัญภายในได้
เมื่อเขาทดลองกระตุ้นปราณแท้เปลวเพลิงจนไฟพันล้อมรอบกายอีกครั้ง ก็พบว่าไม่มีอะไรถูกเผาแล้ว เขาควบคุมเปลวเพลิงให้กลายเป็นรูปร่างต่างๆ สำหรับขั้นฟ้าประทานระดับสมบูรณ์อย่างหลี่มู่แล้ว การเปลี่ยนรูปร่างปราณแท้เป็นเรื่องง่ายดายมาก
หวงเซิ่งอี้ที่อยู่อีกด้านก็ปิดความตกตะลึงในใจไว้ไม่ได้
พรสวรรค์ของหลี่มู่ เขาเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต น่ากลัวเสียจริงๆ นึกนิมิตเพลิงสีชาดแค่ครั้งแรกก็ทำได้สำเร็จ เข้าใจวิธีการควบคุมเปลวเพลิงอย่างถ่องแท้ ฟังเพียงครั้งเดียวก็ชำนาญช่ำชอง…เจ้าหนุ่มคนนี้มันปีศาจร้ายชัดๆ
‘ปราณแท้ของธาตุไฟ ก็ไม่เลวนักนะ แต่ว่าแค่นี้ยังไม่พอ ถ้าหากสามารถควบคุมปราณแท้ของทั้งห้าธาตุได้ในเวลาเดียวกัน จะมีประโยชน์ต่อค่ายกลใหญ่ของวิชาดาบเหินหาวดาบบินที่จินตนาการไว้มากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย’
หลี่มู่คิดอยู่ในใจ
เขาเอ่ยความคิดของตนเองออกมา และสอบถามหวงเซิ่งอี้
หวงเซิ่งอี้เมื่อได้ยินก็รีบตอบกลับ “นี่เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นขั้นเทวะ ก็ยังสามารถควบคุมพลังได้เพียงคุณสมบัติเดียว จอมยุทธ์ส่วนใหญ่ธาตุของปราณแท้จะสอดคล้องกับคุณสมบัติร่างกายตนเองเป็นอย่างมาก ข้าเดาว่าก่อนหน้านี้ที่เจ้าไม่อาจนึกนิมิตปราณแท้ธาตุใดๆ ได้ นั่นเป็นเพราะร่างกายเจ้าเข้ากับพลังไฟร้อยทั้งร้อยได้แต่กำเนิด ส่วนเรื่องคิดที่จะควบคุมพลังปราณแท้หลายธาตุในเวลาเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน นี่เป็นกฎของการฝึกวรยุทธ์ เป็นกฎเหล็ก…”
ผัวะ
หลี่มู่ซัดหมัดเข้ามาตรงๆ
“ให้เจ้าพูดวิชานึกนิมิตคุณสมบัติอื่นๆ เจ้ายังจะพ่นนั่นนี่ออกมาเยอะแยะ…” หลี่มู่ชี้ไปยังตาหมีแพนด้าที่เพิ่งปูดขึ้นมาใหม่ของหวงเซิ่งอี้ เอ่ยต่อว่า “บอกมา ในมือของเจ้ายังมีวิชานึกนิมิตปราณแท้ธาตุอื่นๆ อีกหรือไม่? ดีที่สุดคือนอกจากธาตุไฟ พวกทองไม้น้ำดินอีกสี่ต้องมีบ้าง ข้าจะลองดูก่อนค่อยว่ากัน”
หวงเซิ่งอี้เศร้าใจระคนข้นแค้น
ไม่ใช่ข้าหวังดีกับเจ้าหรือไรกัน?
ตั้งแต่ที่เขาตกอยู่ในมือของหลี่มู่ ต้องมาใช้ชีวิตอะไรอยู่เช่นนี้ ความภาคภูมิใจในฐานะเทวะ ความน่ายำเกรงของขั้นเทวะ ความคิดความสุขุมทั้งหมด…ล้วนถูกดาบฟันหมัดทุบจนพังไม่มีชิ้นดี ราวกับตัวเองตกเป็นทาสอย่างไรอย่างนั้น
แท้จริงแล้ว เมื่อเอวของคนเราอ่อนแอลง ก็ยืดขึ้นใหม่อีกครั้งยากยิ่ง
แม้แต่ครึ่งขั้นเทวะอย่างหวงเซิ่งอี้ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ดังนั้น สุดท้ายเขาจึงพูดวิชานึกนิมิตปราณแท้คุณสมบัติอื่นๆ ที่ตนเข้าใจให้ฟังหลายส่วนอย่างตรงไปตรงมา วิชานึกนิมิตทั้งห้าธาตุ…ถึงแม้ตัวเขาเองนึกนิมิตปราณแท้เปลวเพลิง แต่ด้วยฐานะอย่างเขาจึงได้สัมผัสวิชามามากมาย เรื่องวิชานึกนิมิตปราณแท้ธาตุอื่น ถึงแม้เขาจะไม่ได้ฝึกฝนมา ทว่าก็เคยสัมผัสมาบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นยังล้วนเป็นวิชานึกนิมิตคุณสมบัติระดับค่อนข้างสูงอีกด้วย
หลี่มู่เมื่อได้ฟังก็ถามอย่างละเอียดอีกประโยคสองประโยค เมื่อแน่ใจว่าไม่ผิดแล้ว จึงเริ่มหลับตาแล้วนึกนิมิตขึ้นมา
ลองก่อนค่อยว่ากัน
“ข้าพูดก็เพราะหวังดีกับตัวเจ้านะ การแบกรับปราณแท้หลายธาตุพร้อมกันก็เท่ากับการฆ่าตัวตาย คุณสมบัติของปราณแท้จะขัดแย้งกันเอง จนทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก…” หวงเซิ่งอี้พูดปากเปียกปากแฉะ “เคยมีครึ่งเทวะคนหนึ่งจากซ่งเหนือคิดไม่ตกกับเรื่องนี้ เอาแต่ทดสอบทดลอง ผลสุดท้ายแม้ว่าเขาจะนึกนิมิตปราณแท้ชนิดที่แตกต่างกันได้ แต่จุดจบก็ช่างน่าสลด ปราณแท้ธาตุต่างกันเริ่มต่อต้านกันเอง ทำให้พลังในร่างกายระเบิดขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ท้ายที่สุดก็พิกลพิการไป…”
แต่ว่าพูดไปพูดมา จู่ๆ หวงเซิ่งอี้ก็หุบปากลง
ดวงตาของเขาถลึงออกมาจนกลมโต
เพราะว่าหลี่มู่ที่หลับตานึกนิมิตไปแล้วหลายสิบลมหายใจ ฝ่ามือค่อยๆ กางออก แสงวารีสีฟ้าครามลูกหนึ่งลอยขึ้นมาหมุนวนอยู่ด้านบนฝ่ามือ มีคลื่นจางๆ ไหลวนอยู่ ได้ยินเสียงคลื่นทะเลซัดสาดคล้ายใกล้คล้ายไกล
หลังจากนั้น ม่านน้ำสีฟ้าชั้นหนึ่งซึ่งดูเหมือนจริงและลวงตาก็ระยิบระยับขึ้นรอบตัวหลี่มู่
เสียงน้ำซัดสาดดังแว่วมา ราวกับมีคลื่นทะเลกำลังโหมกระหน่ำอยู่ภายในตัวหลี่มู่
“นี่…” หวงเซิ่งอี้ตาโตอ้าปากค้าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา