ในช่วงนี้ ดูแล้วหวางซืออวี่น่าจะยังไม่มีอันตราย
หลี่มู่สามารถรอให้พลังของตนยกระดับจนถึงขั้นเทวะอย่างแท้จริงก่อน ค่อยไปซ่งเหนือเพื่อหาดาวโรงเรียนร่วมโต๊ะคนนี้
แต่พูดตามจริง ราชาปีศาจหลี่ใจร้อน ค่อนข้างจะรอไม่ไหว
ความยินดีที่ได้พบเพื่อนเก่าในต่างแดนเช่นนี้ คนที่ไม่เคยเจอไม่มีทางรู้ได้เลย
อีกทั้งหวางซืออวี่เคยเป็นผู้หญิงที่เขามีความรู้สึกดีๆ ให้อีก
หลี่มู่ยังถามเรื่องที่เกี่ยวกับท่านหญิงหวนจูต่อมากมาย
เมื่อฟังมากขึ้น หลี่มู่ยิ่งยืนยันได้ว่าท่านหญิงหวนจูคนนี้จะต้องเป็นหวางซืออวี่แน่
เพราะจากปากของจ้าวจี้ เรื่องสนุกที่เล่าลือกันของท่านหญิงหวนจูหลายเรื่อง คนอื่นๆ อาจจะไม่เข้าใจสิ่งเหล่านั้นที่นางเล่น แต่หลี่มู่มองเห็นความเหงาและเบื่อหน่ายของสาวน้อยดาวโลกที่พลัดหลงมาอยู่ในดาวแปลกหน้านี้
การต่อสู้กับ ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ บวกกับ ‘กลอนสาวงาม’ และ ‘จันทร์เจ้าเมื่อใดเล่าเต็มดวง’ ถูกเล่าลือไปถึงซ่งเหนือ ทำให้ชื่อเสียงของหลี่มู่ระบือไกล หวางซืออวี่จะต้องได้ยินบทกวีเหล่านี้แล้วอย่างแน่นอน บวกกับชื่อหลี่มู่อีก ดังนั้นจึงเดาได้ว่าหลี่มู่คนนี้ก็คือหลี่มู่คนนั้นบนโลก
“ข้าอยากพบท่านหญิงหวนจู นางมาที่เขาขาวพิสุทธิ์ในจักรวรรดิฉินตะวันตกได้หรือไม่?” ท้ายสุดหลี่มู่ก็เอ่ยขึ้นตรงๆ
ในเมื่อตนเองไปไม่ได้ ก็ให้หวางซืออวี่มาที่อำเภอขาวพิสุทธิ์แล้วกัน
จ้าวจี้เวลานี้รู้สึกแปลกใจและอยากรู้อยากเห็นถึงขีดสุดแล้ว
“ท่านปฐมเทวะอยากพบท่านหญิง ตามหลักการแล้วได้ขอรับ ขอเพียงท่านหญิงหวนจูยินยอมมา…” จ้าวจี้ขบคิด มอบคำตอบเอนไปทางมั่นใจออกมา แต่จริงๆ แล้วในใจเขากำลังวางแผนว่าจะรายงานเรื่องนี้กับเหออ๋องอย่างไรดี
นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างความสัมพันธ์กับปฐมเทวะหลี่มู่
หลี่มู่ผงกศีรษะ เอ่ยต่อว่า “เช่นนั้นท่านทูตซ่งก็รีบกลับไปขอคำชี้แนะเรื่องนี้เถิด”
เขารอไม่ไหวแล้ว
“แล้วข้อเสนอจากฝ่าบาทเหออ๋องของข้า…” จ้าวจี้ถามอ้อมๆ
หลี่มู่ตอบ “เหออ๋องมีฐานะเป็นอย่างไรในซ่งเหนือ?”
จ้าวจี้จิตใจสั่นไหว เอ่ยต่อว่า “ฝ่าบาทเหออ๋องเป็นหนึ่งในราชบุตรทั้งสามที่ได้รับความรักจากจักรพรรดิมากที่สุด ควบคุมดูแลทหารรักษาวังหนึ่งในสาม คำพูดยังมีอำนาจมากในราชสำนัก…”
หลี่มู่ฟังถึงจุดนี้ก็ได้ขัดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ดี เจ้ากลับไปบอกกับเหออ๋อง ขอแค่เขาส่งตัวท่านหญิงหวนจูมายังอำเภอขาวพิสุทธิ์นี้ได้ ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขใดก็ตาม ข้ารับปากเขาได้ทั้งหมด”
จ้าวจี้เมื่อได้ยิน ในใจก็ฮึกเหิม
เช่นนี้ก็ง่ายแล้ว ไม่กลัวเรื่องที่ปฐมเทวะจะยื่นเงื่อนไข กลัวเขาไม่ยื่นเสียมากกว่า
ถ้ายื่นเงื่อนไขมาเช่นนี้ ก็มีช่องทางดึงสถานการณ์แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เงื่อนไขนี้ไม่ได้มากเกินไปเลย
“ข้าเข้าใจแล้ว” จ้าวจี้ตอบกลับด้วยมารยาท
หลี่มู่คิดๆ และเสริมต่ออีกประโยค “ไม่เพียงแค่เหออ๋องเท่านั้น เจ้าเอาคำพูดข้าไปบอกต่อด้วย ใครก็ตาม ขอแค่สามารถส่งตัวท่านหญิงหวนจูมาที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ ก็ต่อรองเงื่อนไขกับข้าได้ แต่ว่าเมื่อถึงเวลานั้น เจ้ายังต้องเป็นทูตและมาด้วยตนเอง เข้าใจความหมายใช่ไหม?”
จ้าวจี้ตะลึง ก่อนเข้าใจทันที ในใจพลันลิงโลดขึ้นมา
ความหมายของปฐมเทวะหลี่มู่ง่ายมาก ในดินแดนซ่งเหนือ ใครก็ตามที่อยากจะมาคุยเงื่อนไขกับเขา นอกจากการส่งตัวท่านหญิงหวนจูมาแล้ว ยังมีเงื่อนไขแนบอีกข้อคือต้องให้เขามาเป็นทูต หรือก็หมายถึงว่าจ้าวจี้กลายเป็นหมั่นโถวหอมๆ ลูกหนึ่งไปแล้ว
นี่ถือเป็นพุทราหวานที่ปฐมเทวะหลี่มู่หยิบยื่นให้ตนเองหรือไม่?
“ขอบคุณท่านปฐมเทวะ” เขาทำความเคารพด้วยอาการนอบน้อม
การปฏิบัติต่อกันด้วยน้ำใจก็ถือเป็นสภาพการณ์ประเภทหนึ่ง แรกเริ่มเคยได้ยินว่าปฐมเทวะหลี่มู่เกะกะระรานกำเริบเสิบสาน สังหารคนราวถางหญ้า ยิ่งไปกว่านั้นยังไร้ซึ่งเหตุผล แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่ลือกันไม่เป็นเรื่องจริงเลย อย่างไรเสียผู้ที่ฝึกวรยุทธ์ได้ถึงขั้นเทวะเช่นนี้ มีใครบ้างที่เป็นคนป่าเถื่อน?
จ้าวจี้ถึงแม้ไม่ได้มีใจทรยศเหออ๋อง แต่มีความสัมพันธ์ชั้นหนึ่งกับปฐมเทวะหลี่มู่แล้ว ก็สามารถคิดไปได้ว่าหลังจากกลับไปถึงซ่งเหนือ ฐานะตำแหน่งของเขาจะต้องเหมือนเรือไหลตามน้ำขึ้น จะได้มีตำแหน่งที่สูงยิ่งกว่าเดิมภายใต้บัญชาของเหออ๋อง
เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงพาตัวจ้าวจี้ทูตจากซ่งเหนือเดินออกไป
หลี่มู่ค่อยๆ สงบใจลงจากอาการดีใจ
เขายังคิดไปต่ออีกมากมาย
หวางซืออวี่ไม่เขียนจดหมายร่ายยาวมา แต่กลับเขียนแค่บทกวี ‘ความคิดคำนึงในคืนเงียบสงบ’ มาหยั่งเชิงเช่นนี้ มันดูแปลกอยู่นิดหน่อย หากว่าตามหลักการ นางไม่ควรเขียนจดหมายยาวเหยียดเพื่ออธิบายเรื่องทั้งหมดสักรอบหนึ่งหรอกหรือ? แต่ว่าวิธีการนี้…เหมือนกำลังระวังป้องกันอะไรอยู่?
กำลังป้องกันอะไรกันแน่นะ?
ความคิดหลี่มู่ล่องลอยไปไกล ค่อยๆ คิดถึงว่าตนเองพบกับเรื่องประหลาดบางหนึ่ง กลุ่มคนชุดดำ แล้วยังการกราบไหว้บูชายานอวกาศในห้องใต้ดินของพวกอันธพาลในตำบลสุขสงบ…
หลี่มู่รู้สึกเลาๆ ราวกับมีมือล่องหนคู่หนึ่งกำลังลากจูงสายบางอย่าง ดึงเอาคนบางส่วนให้เข้ามาอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำวน
วันนั้นในศึกใหญ่ที่เมืองฉางอัน ข้างกายหลี่กังมียอดฝีมือลึกลับอีกคนหนึ่ง ยอดฝีมือที่ปล่อยลำแสงสีน้ำเงินเข้มสายหนึ่งไปโจมตีองค์ชายสอง หลี่มู่รู้สึกว่าลำแสงนี้เหมือนจะไม่ได้ปล่อยมาจากเคล็ดวิชายุทธ์ใดๆ แต่เป็นอานุภาพจากอาวุธเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์บางอย่าง
คืนเดียวกันนั้น จ้าวจี้ทูตจากซ่งเหนือตื่นขึ้นแล้วจากไป
ไม่มีใครรู้ว่าเขากับหลี่มู่คุยเรื่องอะไรกัน แต่จากท่าทีการจากไปอย่างลุกลี้ลุกลนของทูตซ่งคนนี้ ดูเหมือนว่าผลการเจรจาไม่ค่อยจะดีนัก
เพราะการเจรจากับขั้นเทวะคนหนึ่ง หากเป็นไปด้วยดีจริงๆ ละก็คงไม่ง่ายดายเช่นนี้ ต้องเกี่ยวเนื่องไปถึงอีกหลายด้านอย่างแน่นอน
คนมากมายที่คอยจับตาดูเรื่องนี้อยู่ต่างวางใจลงได้บ้าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา