จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 328

สถานการณ์พลิกกลับอย่างรวดเร็ว เหมือนกับฝันร้ายฉากหนึ่งที่ดำเนินไปเพียงครึ่งและหยุดลงอย่างกะทันหัน แปดกรพิพากษาจงเหว่ยและพวกทหารขุนพลป้องกันด่านเมืองมังกร หลังจากผ่านความตกใจที่ยาวนานมา ก็ล้วนโห่ร้องด้วยความยินดี เสียงนี้ราวขุนเขากู่ก้องทะเลคำราม ดังไปไกลร้อยลี้

จากนั้น ทุกจุดภายในเมือง เขตพื้นที่ใหญ่ๆ บรรดาทหารที่เสร็จศึกตัวชุ่มไปด้วยเลือด ประชาชนที่ยังอกสั่นขวัญแขวน ต่างพากันทยอยคุกเข่าลงกับพื้น คารวะไปทางหลี่มู่

ขั้นเทวะ

ผู้บัญชาการระดับสูงอย่างจงเหว่ยก็ยังคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ทำความเคารพอย่างนอบน้อม “คารวะไท่ไป๋อ๋อง”

คำนำหน้าอ๋องของหลี่มู่นี้เป็นชื่อเสียงจอมปลอม

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของเทวะ ชื่อเสียงปลอมนี้เปลี่ยนเป็นพลังที่น่าเกรงขามอย่างมาก

หลี่มู่ยกมือขึ้น “ลุกขึ้นเถอะ”

ด่านเมืองมังกรในคืนนี้ นับว่าถูกปกป้องไว้ได้แล้ว

ส่วนคนลึกลับในแสงสีทองท้ายสุดก็ไม่กล้าหลบหนี ถูกทหารของด่านเมืองมังกรคุมตัวเอาไว้

การสู้รบจบลงแล้ว

ในฐานะขุนพลป้องกันด่านเมืองมังกร แปดกรพิพากษามีประสบการณ์ที่เต็มเปี่ยมไร้ใดเทียม ยังไม่ถึงเวลาฟ้าสว่าง การป้องกันของด่านเมืองมังกรก็กลับมาแข็งแกร่งดุจป้อมปราการอีกครั้ง กองกำลังทหารถูกจัดขึ้นใหม่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ในเวลาเดียวกัน พวกที่ยังซ่อนอยู่ในเมือง โดยเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังกระบี่เหล็ก ทั้งหมดถูกขุดรากถอนโคน โรงฝึกยุทธ์กระบี่เหล็กที่ไช่ไช่อยู่ก็ถูกกวาดล้างจนสิ้น

ด่านเมืองมังกรกลับมาอยู่ในการควบคุมของทหารชายแดนฉินตะวันตกอีกครั้ง

จากสงครามอันดุเดือดและการสังหารในคืนนี้ ทหารรักษาการณ์ด่านเมืองมังกรพูดได้ว่าเสียหายหนัก กองกำลังใหญ่ทั้งสาม กองกำลังกระบี่เหล็กแทบจะก่อกบฏทั้งหมดถูกลบทิ้งโดยสมบูรณ์ ส่วนกองกำลังบุกฐานที่มั่นและกองกำลังทวนสังหารก็เสียหายไปกว่าครึ่ง…พูดได้อย่างไม่เกินจริงว่า พลังป้องกันของด่านเมืองมังกรนั้น หนึ่งส่วนสามของยามปกติก็ยังมีไม่ถึง

แต่ความมุ่งมั่นและขวัญกำลังใจของทหารประชาชนไม่ได้ลดลงเลย

เพราะทุกคนรู้แล้วว่า มีเทวะจากจักรวรรดิคนหนึ่งมาดูแลและปกป้องด่านเมืองมังกรแห่งนี้

เหล่าผู้ปกครองระดับสูงอย่างแปดกรพิพากษาจงเหว่ยขอเข้าพบหลี่มู่อีกครั้งช่วงรุ่งสาง

“สถานการณ์ไม่สู้ดียิ่งนัก ด่านชายแดนสิบเมืองเก้าพื้นที่ ไม่เพียงแต่ด่านเมืองมังกรที่ถูกโจมตี เมื่อคืนนี้ทั้งคืน เก้าเมืองถูกโจมตีหมด หกในนั้นถูกยึดครอง พื้นที่ทั้งเก้าเกิดความวุ่นวายขึ้นสี่ ภายในคืนเดียว เมืองด่านชายแดนของจักรวรรดิเสียหายไปกว่าครึ่ง”

จงเหว่ยเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เดิมทีคิดว่ากองกำลังกระบี่เหล็กแห่งด่านเมืองมังกรสมรู้ร่วมคิดก่อกบฏเป็นแค่ตัวอย่าง แต่ตอนนี้ดูแล้ว เรื่องไม่ได้ง่ายปานนั้น นี่เป็นลมพายุขนานใหญ่ที่วางแผนเอาไว้นานแล้ว พัดกระหน่ำขึ้นในคืนเดียว เพียงพริบตาก็ม้วนกวาดทั่วทั้งชายแดน ฉายาพื้นที่ทัพชายแดนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิฉินตะวันตก ไม่ถึงหกชั่วยามก็เสียหายสาหัส

รสชาติของการถูกหักหลัง เมื่อลองชิมอย่างละเอียด ล้วนทำให้คนรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง

สำหรับจักรวรรดิฉินตะวันตก นี่เป็นภัยพิบัติครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะว่าด้านในยังมีทหารกบฏที่มีเจิ้นซีอ๋องเป็นหัวหอก ยังไม่ถูกกวาดล้างออกไป

ความวุ่นวายด้านในกับหายนะด้านนอก ปรากฏขึ้นพร้อมกัน

สำหรับราชวงศ์ใดก็ตาม เรื่องนี้ล้วนเป็นเค้าลางแห่งการล่มสลาย

ก่อนหน้านี้ขุนพลป้องกันด่านเมืองมังกรจงเหว่ยได้ส่งคนออกไปกระจายข่าว เดิมทีหวังไว้ว่าจะมีกองกำลังสนับสนุนจากเมืองชายแดนอื่นๆ มา แต่ข่าวที่ได้รับกลับทำให้เขาและผู้ใต้บังคับบัญชาตกใจกลัว ดังนั้นจึงต้องมาเข้าพบหลี่มู่ที่เป็นขุนนางจักรวรรดิผู้สูงส่งคนนี้ก่อนอย่างเสียมิได้

ได้ยินข่าวเช่นนี้ หลี่มู่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

แต่ว่า เขาไม่สามารถหยุดอยู่ที่ด่านเมืองมังกรนี้ได้

หากวันนี้ก่อนอาทิตย์ตกดินยังไม่ได้รับข่าวคราวจากชิวอิ่นละก็ เขาตัดสินใจจะไปที่ราบทุ่งหญ้ากับกัวอวี่ชิงก่อน หลังจากชิวอิ่นตามมา ค่อยไปหาพวกเขาในที่ราบทุ่งหญ้าได้ อย่างไรเสียเวลาก็ไม่คอยท่าใคร ใจเขายังกังวลถึงความปลอดภัยของซ่างกวนอวี่ถิง

ทว่า สิ่งที่มองเห็นล่วงหน้าได้ก็คือ ฤดูหนาวที่หนาวเหน็บที่สุดในประวัติศาสตร์ฉินตะวันตกกำลังจะมาเยือนแล้ว

ลมพายุโหมครั้งหนึ่ง แสดงให้เห็นความโหดร้ายแบบดั้งเดิมที่สุดแล้ว

……

พายุหิมะบนที่ราบทุ่งหญ้ามาไวไปไว

เมื่อฟ้าสาง หิมะพร่างพรายดุจขนห่านเต็มท้องฟ้าหายไปจนหมดแล้ว เพียงแต่พายุหิมะที่ตกมาหนึ่งคืน ทำให้ท้องทุ่งหญ้าปกคลุมไปด้วยหิมะขาวหนาๆ หนึ่งชั้น มากพอจะจมตั้งแต่ใต้หัวเข่าของผู้ใหญ่ลงไปได้ ต้นหญ้าแห้งเหี่ยวถูกหิมะทับถม เมื่อมองออกไป โลกทั้งใบเป็นสีเงิน ภายใต้แสงแดดยามเช้าตรู่ที่ส่องลงมา ประกายแสงสีเงินค่อนข้างแยงตา ส่องระยิบระยับอยู่บนที่ราบหิมะ

เจียงชิวไป๋หลับจนตื่นตามปกติ

ข้างกายเขามีหญ้าอ่อนเขียวขจี ดอกไม้ผลิบาน ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นแน่นขนัด

“เอาละ พวกเราก็ควรเดินทางเสียที” เขามองที่ราบหิมะอันสุดลูกหูลูกตา สีหน้าสงบมาก ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับทิวทัศน์มหัศจรรย์ที่ปรากฏขึ้นตรงหน้านี้แม้แต่น้อย

ซ่างกวนอวี่ถิงกลับจิตใจหวั่นไหวอยู่บ้าง

นางที่เดิมทีอยู่ในพื้นที่ทิวเขาของจักรวรรดิฉินตะวันตก เห็นภาพเทือกเขาสูงหรือป่าเขียวขจีจนชินแล้ว เคยเห็นภาพสุดลูกหูลูกตาเช่นนี้เสียที่ไหน โลกน้ำแข็งที่ปกคลุมด้วยสีเงิน ภาพฟ้ากับดินขาวจนเป็นสีเดียวกัน ทำให้คนอดเกิดความรู้สึกว่าจิตใจกว้างขวางไม่ได้จริงๆ

ซ่างกวนอวี่ถิงตอนนี้รู้สึกสงบลงได้แล้ว

ถึงแม้เจียงชิวไป๋จะใช้กำลังชิงตัวนางมาที่นี่ แต่ว่าตลอดการเดินทาง ต้องยอมรับเลยว่าเจียงชิวไป๋เป็นชายที่มีสุขุมสุภาพมาก อย่างน้อยก็ดูแลนางเป็นอย่างดี ไม่ทำหยาบคายใส่นางเลยแม้แต่น้อย

หลายครั้งที่เจียงชิวไป๋แสดงท่าทีเหมือนปัญญาชนผู้สง่างาม นับเป็นชายที่เปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์คนหนึ่ง

ทั้งสองเดินทางออกจากเนินเขา

เนินเขาที่ไม่ได้รับการคุ้มครองจากเขตแดนของเจียงชิวไป๋ เพียงไม่นานก็ถูกลมหนาวโถมใส่ ชั้นหิมะทับถมขึ้นมา ดอกไม้ใบหญ้าที่เดิมทีเบ่งบานถูกพายุน้ำแข็งหิมะหนาวเย็นทับจนจับตัวแข็ง เหี่ยวเฉา และตายลงอย่างรวดเร็ว…ท้ายสุด ก็ถูกทับถมอยู่ใต้หิมะขาวสะอาด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา