เขาเมืองมรกตตั้งอยู่ในจักรวรรดิซ่งเหนือ ห่างจากเมืองหลินอันเมืองหลวงของซ่งเหนือประมาณหนึ่งพันลี้กว่าๆ
อาณาเขตเขาเมืองมรกตกินพื้นที่พันลี้ ทิวเขากว้างใหญ่เงียบสงบ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ทั้งสี่ฤดูราวฤดูใบไม้ผลิ ยอดเขาสูงตระหง่านรายล้อม ภูมิประเทศคล้ายเมือง จึงได้ชื่อว่าเขาเมืองมรกต ขั้นบันไดคดเคี้ยวทอดตัวยาว สะอาดเงียบสงบ อารามเขามรกตที่อยู่บนยอดเขาหลักสร้างอยู่บนเขาลอยฟ้า คนธรรมดายากจะเข้าไปได้ มีเพียงยอดฝีมือในยุทธจักรและวานรขาวกับกระเรียนเซียนแห่งเขาเมืองมรกตเท่านั้น ถึงจะข้ามยอดเขาสูงชันอันตรายไปถึงอารามเขาเมืองมรกตบนนั้นได้
อารามเมืองมรกตเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์วิถียุทธ์ของจักรวรรดิซ่งเหนือ ตำแหน่งเทียบเท่าทุ่งปิดภูผาแห่งฉินตะวันตก
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเก้าสำนักเทพใต้ผืนฟ้า อิทธิพลที่อารามเมืองมรกตมีต่อซ่งเหนืออาจไม่เหมือนสำนักทุ่งปิดภูผาที่ส่งอิทธิพลต่อฉินตะวันตกซึมลึกไปถึงการทหารและการปกครอง อารามเมืองมรกตที่ฝึกฝนตามครรลองธรรมชาติน้อยครั้งที่จะก้าวสู่โลกภายนอก แต่กลับมีความหมายสำคัญกับจักรวรรดิซ่งเหนือ เคยช่วยเหลือประชาชนแถบชายแดนที่ตกอยู่ในอันตรายมานับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งที่เกิดกลียุค นักพรตจากอารามเมืองมรกตจะลงจากเขาไปช่วยเหลือโลก และเมื่อสังคมเฟื่องฟู เหล่านักพรตก็จะปลีกวิเวกไปในเขาลึก ที่นี่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ในใจของจอมยุทธ์ซ่งเหนือนับไม่ถ้วน ทั้งยังเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สำนักเต๋าของทั้งแผ่นดินใหญ่เสินโจวอีกด้วย
เจ้าอารามของอารามเมืองมรกตเต้าฉงหยางเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในลัทธิเต๋า และเป็นปรมาจารย์นักพรตที่ทุกคนยอมรับ
เจ้าสำนักเทพทั้งเก้าเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วแผ่นดินกันทั้งสิ้น คำพูดเพียงคำเดียวก็กลายเป็นกฎหมายแผ่นดิน ได้รับการขนานนามว่าเก้ายอดคนใต้หล้า
เต้าฉงหยางก็เป็นหนึ่งในเก้ายอดคน
เขาถูกขนานนามว่าเป็นนักพรตแห่งใต้หล้า ก็สามารถจินตนาการได้ว่าพลังแท้จริงและพลังฝึกของเขาไปถึงขอบเขตใด สามร้อยปีที่ผ่านมา เขาเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของซ่งเหนือโดยไม่มีข้อโต้แย้งแม้แต่น้อย ถึงแม้จะปิดด่านฝึกตนไปสองร้อยปี เก็บเนื้อเก็บตัว อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นที่สุด แต่ก็ไม่มีใครชิงตำแหน่งของเขาได้
แต่ตอนนี้ ปรมาจารย์ลัทธิเต๋าที่สงบเสงี่ยมมาสองร้อยกว่าปีกลับลงจากเขามาท้ารบกับหลี่พั่วเยวี่ยซึ่งเป็นเก้ายอดคนใต้หล้าเช่นกัน นี่ช่างทำให้คนนับไม่ถ้วนตื่นตะลึงจนยากจะเชื่อ
เก้ายอดคนใต้หล้าล้วนแต่เป็นบุคคลชั้นยอดที่ควบคุมชะตาของจักรวรรดิ นับตั้งแต่พันปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีการท้าสู้กันและกันเช่นนี้
เพราะเก้ายอดคนเป็นดั่งเสายักษ์เก้าต้นที่ค้ำจุนโลก
ไม่ว่าเสาต้นไหนล้มลงก็ตาม โลกใบนี้จะเอนเอียง เสี่ยงจะล้มครืนลง
แตะแค่เส้นผมก็สะเทือนไปทั้งตัว
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนในโลกนี้ต่างรู้ดี
ดังนั้นการต่อสู้กันระหว่างเก้ายอดคนจึงเป็นการต่อสู้ที่หาได้ยากยิ่ง
ต่อให้เป็นการแข่งขันบางอย่างก็สู้กันทางกลอนกวีหรือแอบสู้กันลับหลัง อย่างเช่นการสั่งสอนศิษย์คนหนึ่งของแต่ละคน จากนั้นก็ใช้ผลแพ้ชนะของลูกศิษย์มาตัดสินผลแพ้ชนะของกันและกัน หรือบางทีก็อาจเป็นการลอบสู้กันโดยมีขอบเขต แค่พอเป็นพิธี ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่เก้ายอดคนท้าประลองลงสนามตัดสินแพ้ชนะด้วยตัวเอง
ทว่า ครั้งนี้การนัดประลองของนักพรตเต้าฉงหยางกับ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ยถูกประกาศไปทั่ว และบอกไว้อย่างชัดเจนยิ่งคือแบ่งแพ้ชนะ แบ่งเป็นตาย
แบ่งเป็นตายเชียวนะ
ซึ่งก็หมายความว่า สองคนในเก้ายอดคนจะมีคนหนึ่งที่สุดท้ายแล้วต้องแตกดับไป
ข่าวแพร่สะพัดไปทุกหนแห่งในแผ่นดินใหญ่เสินโจวอย่างบ้าคลั่ง
สร้างความกังวลให้กับหลายคน
เป็นเพราะสาเหตุอะไรถึงได้ทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างเก้ายอดคนขึ้นเช่นนี้?
นี่ไม่ได้หมายความว่าแผ่นดินใหญ่เสินโจวที่สุขสงบสมดุลมาพันปี จะต้องพบเจอกับภัยพิบัติอีกหรือ?
หลายคนคิดอยากหยุดการประลองที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้
แต่แน่นอน ยังมีอีกหลายคนที่แอบดีใจ กำลังโห่ร้อง กำลังโลดเต้น และเฝ้ารอการมาถึงของกลียุคนี้
……
ภูเขาเมืองมรกต
เขาเขียวเงียบสงบ แมกไม้ร่มครึ้ม
นับแต่อดีตก็มีคำพูดที่ว่า ‘เมืองมรกตเงียบสงบที่สุดในโลก’ แล้ว นี่คือเทือกเขาที่สุดแสนสงบ
เขาลอยฟ้าตั้งอยู่ในแนวเทือกเขาเขียวขจีที่ทอดตัวยาว ยอดเขารอบๆ สูงชันอันตราย เป็นยอดเขาซึ่งแขวนอยู่กลางท้องฟ้าเหนือพื้นดินไปสองลี้ ทั้งยังเป็นหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ทิวทัศน์งดงามแปลกตา อารามเมืองมรกตตั้งอยู่บนเขาลอยฟ้าแห่งนี้ ราวกับเป็นที่พำนักของเทพเซียน
อารามเมืองมรกตประกอบด้วยตำหนักใหญ่สามสิบแปดตำหนัก
ตำหนักของปรมาจารย์นักพรตเต้าฉงหยางชื่อว่า ‘เมืองชาด’ ตั้งอยู่บนยอดเขาลอยฟ้า
เต้าฉงหยางที่สวมชุดนักพรตเรียบง่ายสีดำยืนอยู่บนบันไดหน้าประตูเมืองชาด ก้มมองดูอาราม บันไดหิน และต้นไม้ที่สลับซับซ้อนเป็นชั้นๆ ข้างล่าง สายตานิ่งสงบ ไม่มีอาการร้อนรน ละอองหมอกโอบล้อมขุนเขาราวเส้นเงินไหลริน เขารูปร่างผอมสูงไหลกว้างเอวแคบ ดูแล้วอายุแค่สามสิบกว่าๆ หน้าตาขาวสะอาด เคราดำคิ้วดำ ดวงตายาวเรียวตวัดเฉียงขึ้นอย่างตาหงส์แบบดั้งเดิม จมูกโด่งปากอวบอิ่ม
“อาจารย์ ท่านตัดสินใจแล้วจริงๆ หรือ?” นักพรตหนุ่มประมาณยี่สิบกว่าๆ สวมชุดนักพรตสีเทา ใส่รองเท้าขนสัตว์ลายเมฆ เดินมาเบาๆ ถามด้วยสีหน้ากังวล เหมือนกำลังคิดจะห้ามอะไร
นักพรตหนุ่มคนนี้คิ้วกระบี่ดวงตาเป็นประกาย ผิวขาวละเอียดราวหยกมันแพะ สง่างามเป็นที่สุด องอาจยิ่งนัก
“ลิขิตสวรรค์เริ่มแล้ว ถึงแก่เวลาแล้ว” เต้าฉงหยางทอดถอนใจ “พันปี พวกเขาเตรียมตัวพร้อมแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวพร้อมแล้วเช่นกัน ความอดทนของทุกคนใกล้หมดลง รอไปได้ไม่นาน ปฐมเทวะผู้อ่อนเยาว์ก็ปรากฏตัวขึ้น ฟ้าดินผืนนี้จะเปลี่ยนแปลงแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา